Audio/อัน-ซาบูร
 
 
 
 
 
 

มุฮัมมัดได้ก่อตั้งอิสลามขึ้นเป็นศาสนาใหม่?

เป็นภาระกิจของท่านศาสดามูฮัมมัด  (ซ.ล)  ที่ได้ก่อตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่พร้อมกับกฎหมายใหม่ขึ้นมาแทนระบบของยิว และคริสต์ ที่ล้าสมัยเกินไปเหตุผลนี้มุสลิมส่วนมากไม่ต้องการให้ไปกระทบกับชาวคริสต์  หรือยิว  ของคริสต์ก็ดีอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากนั้นผู้คนทั่วโลกได้รู้จักอิสลามมากว่า 600 ปี  หลังจากที่ได้เกิดขึ้นต่อจากศาสนาคริสต์   จึงได้มีการเผยแพร่อิสลาม และสอนคัมภีร์อัลกุรอ่าน  แต่ว่าพันธกิจของท่านศาสดามูฮัมมัดที่ได้ก่อตั้งศาสนาใหม่ยังไม่สมบูรณ์   แต่ดีกว่าในยุคของท่านอิบรอฮีม ดังมีปรากฏในซูเราะฮ์อันนะฮ์ละ อายะฮ์ที่ 123


แล้วเราได้ว่าฮีแก่เจ้าว่า “ จงปฏิบัติตามศาสนาของอิบรอฮีมผู้เที่ยงธรรม และเขามิได้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี”

ในซูเราะฮ์อัลอันอาม อายะฮ์ที่ 161

จงกล่าวเถิด (มูฮัมมัด) ว่าแท้จริงนั้น พระเจ้าของฉันได้แนะนำฉันไปสู่ทางอันเที่ยงตรงคือศาสนาที่เที่ยงแท้อันเป็นแนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริง และเขา(อิบรอฮีม) ไม่เป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ให้ภาคีนั้น

ในซูเราะฮ์อาละอิมรอน  อายะฮ์ที่ 95



จงกล่าวเถิด (มูฮัมมัด) ว่าอัลลอฮ์นั้นตรัสจริงแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีมผู้หันออกจากความเท็จสู่ความจริงเถิด และเขาไม่เคยอยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคี (แก่อัลลอฮ์)

ในซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์  อายะฮ์ที่ 135


และพวกเขากล่าวว่า พวกท่านจงเป็นยิวเถิด หรือเป็นคริสต์เถิด พวกท่านก็จะได้รับคำแนะนำอันถูกต้อง จงกล่าวเถิด (มูฮัมมัด) หาใช่เช่นนั้นไม่ แนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความความจริงต่างหาก และเขาไม่เคยเป็นผู้สักการะเจว็ด

ในซูเราะฮ์อันนิซาอ์  อายะฮ์ที่ 125


และผู้ใดเล่าจะมีศาสนา   ดียิ่งไปกว่าผู้ที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮ์   และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กระทำดี  และปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริงและอัลลอฮ์ ได้ถือเอาอิบรอฮีมเป็นสหาย

จากคัมภีร์ที่ยกมานี้    ในอัลกุรอ่านยังได้บอกว่า    มูฮัมมัดนั้นยังไม่ได้มาสอนสิ่งใหม่ๆ ในซึ่งความเป็นจริงอัลกุรอ่านได้บอกกับพวกเราว่า ท่านนบีมูฮัมมัดมาเพื่อช่วยเปิดเผยเพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งใดไม่ถูกต้อง มีสิ่งใดที่เข้ามาแทน สิ่งใดที่มีเพิ่มเข้าไป  และมีสิ่งใดบ้างที่ยกเลิกไป  เพื่อเป็นการยืนยันในซูเราะฮ์อัลอะฮ์ก็อฟ อายะฮ์ที่  9 ; 12


จงกล่าวเถิดมูฮัมมัด ฉันไม่ได้เป็นคนแรกในบรรดาร่อซู้ล และฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่ฉันและแก่พวกท่าน ฉันมิได้ปฏิบัติตามสิ่งใดนอกจากสิ่งที่ถูกว่าฮีให้แก่ฉัน และฉันมิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นผู้ตักเตือนอันชัดแจ้ง . . . และก่อนหน้านี้ (อัลกุรอ่าน) มีคัมภีร์ของมูซาเป็นแบบอย่าง และความเมตตาและนี่อัลกุรอ่านเป็นคัมภีร์ที่ยืนยันเป็นภาษาอาหรับ เพื่อตักเตือนผู้กระทำความผิด และเป็นข่าวดีสำหรับผู้กระทำความดี

ซูเราะฮ์ฟุศศิลัต อายะฮ์ที่ 43


ไม่มีสิ่งใดที่ถูกกล่าวแก่เจ้า เว้นแต่ได้มีการกล่าวขึ้นแล้ว แก่บรรดาร่อซู้ลก่อนหน้าเจ้า แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นแน่นอน พระองค์ทรงเป็นผู้อภัย และเป็นผู้ลงโทษอย่างเจ็บปวด

ซูเราะฮ์อัชชูรอ อายะฮ์ที่ 13


พระองค์ได้ทรงกำหนดศาสนาแก่พวกเจ้าเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบัญชาแก่นัวะฮ์ และที่เราได้ว่าฮีแก่เจ้า ก็เช่นเดียวกับที่เราได้บัญชาแก่อิบรอฮีมและ มูซา  และอีซาว่า  พวกเจ้าจงดำรงศาสนาไว้ให้มั่นคง และอย่าแตกแยกกันในเรื่องของศาสนา แต่เป็นเรื่องใหญ่แก่พวกตั้งภาคีที่เจ้าเรียกร้อง เชิญชวนพวกเขาไปสู่ศาสนานั้น อัลลอฮ์ทรงเลือกสาหรับพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงชี้แนะทางสู่พระองค์ ผู้ที่ผินหน้าสู่พระองค์

เป็นหมายสำคัญที่เริ่มมาจากนบีอิบรอฮีมที่ท่านได้ขยายอาณาเขตแดนออกไปโดยความมีศีลธรรม และประชาชาติของพระเจ้า ที่ท่านได้นำความเชื่อมาสู่นบีมูซา  เป็นผลลัพธ์ที่ทำให้เกิดชนชาติของพระเจ้าแผ่ขยายออกไปมากขึ้นและชนชาติเหล่านั้นได้นำไปปฏิบัติร่วมกัน โดยร้อยปีก่อนที่ท่านนบีมูฮัมมัดจะมานั้นมุสลิมยังได้ประพฤติคู่กันไปกับแนวทางของไบเบิ้ล    ซึ่งขัดแย้งกับมุสลิมบางกลุ่มที่ยังมีความเชื่อเช่นเดียวกับชาวคริสต์ แต่เป็นสิ่งที่ดี ซึ่งไม่ใช่วัฒนธรรมใหม่หรือศาสนาใหม่ นี่คือสิ่งที่มุสลิมสามารถปฏิบัติได้ ตามวิถีทางของคัมภีร์ไบเบิ้ลซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เป็นการส่งเสริมความเชื่อให้เกื้อกูลกัน มีตัวอย่างที่ช่วยให้เกื้อหนุนกันได้เช่น

  1. ทำให้พบทางแห่งสันติสุข ถ้าจะเข้าไปในเรือนใดๆ จงพูดก่อนว่า “ให้ความสุขมีแก่เรือนนี้เถิด  อินญีล ลูกาบทที่ 10 ข้อ 5
  2. ทำการชำระก่อนที่จะขอดุอาอ์  มูซากับฮารูน และบุตรชายของท่านล้างมือและเท้าที่ขันนั้น เวลาที่เขาทั้งหลายจะเข้าไปในเต๊นท์นัดพบหรือเข้าไปในแท่นนั้นเมื่อไร เขาก็จะชำระล้างเสียก่อน ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่มูซา  ในอพยพบทที่ 40 ข้อ 31-32
  3. ถอดรองเท้าในช่วงเวลาที่เข้าเฝ้าพระเจ้า พระองค์จึงตรัสว่า “อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” ในอพยพบทที่ 3 ข้อ 5
  4. ขอดุอาอ์ในยามที่อ่อนล้า มาเถิดให้เรานมัสการและกราบลง ให้เราคุกเข่าลงต่อพระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเรา ในซ่าบูร สดุดีบทที่ 95 ข้อ 6
  5. เชือดสัตว์เป็นพลีทาน  พระเจ้าตรัสกับมูซา หลังจากที่บุตรทั้งสองของฮารูนสิ้นชีวิต คือเมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเจ้าและถึงแก่ความตาย และพระเจ้าตรัสกับมูซาว่า “เจ้าจงบอกฮารูนพี่ชายว่า อย่าเข้าไปในอภิสุทธิ์สถาน ตลอดทุกเวลา คือเข้าไปหน้าพระที่นั่งพระกรุณาซึ่งอยู่บนหลังหีบ เกลือกว่าเขาจะต้องตาย เพราะว่าเราจะปรากฏในเมฆเหนือพระที่นั่งกรุณา แต่ฮารูนจะเข้ามาในที่บริสุทธ์ได้ดังนี้คือให้เอาวัวหนุ่มตัวหนึ่งไปเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และแกะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา ให้เขาสวมเสื้อป่านบริสุทธิ์ และสวมกางเกงผ้าป่าน คาดเจียระบาดผ้าป่าน และสวมผ้ามาลาป่าน  นี่เป็นเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ เขาจะต้องอาบน้ำแล้วจึงสวม และให้เขานำแพะผู้สองตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปกับแกะผู้ตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชาจากชุมนุมชนอิสราเอล และฮารูนจะถวายวัว เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของตน  เลวีนิติบทที่ 16 ข้อ 1-6
  6. สามารถนมัสการพระเจ้าได้ทุกแห่ง  แต่ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งฟิลิปว่า “จงลุกขึ้นไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา”   (ซึ่งเป็นทางเปล่าเปลี่ยว)   ฝ่ายฟิลิปก็ลุกขึ้นไปและดูเถิดมีชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งเป็นขันที     เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสี     พระราชินีของชาว
  7. เอธิโอเปีย และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีนั้น ได้มานมัสการในกรุงเยรูซาเล็ม ขณะนั่งรถกลับไปท่านอ่านหนังสืออิลยาส ผู้เผยพระวจนะอยู่

ในอินญีล กิจการของอัครทูตบทที่ 8 ข้อ 26-28

  1. สตรีที่คลุมศีรษะ  แต่ผู้หญิงที่อธิษฐาน และเผยพระวจนะ ถ้าไม่มีผ้าคลุมศีรษะก็ทำความอัปยศแก่ศีรษะ เพราะเหมือนกับว่านางได้โกนผมเสียแล้ว  ถ้าผู้หญิงจะไม่คลุมศีรษะก็ควรจะโกนผมเสีย แต่ถ้าการที่ผู้หญิงจะตัดผมหรือโกนผมนั้นเป็นสิ่งที่น่าอับอาย จงเอาผ้าคลุมศีรษะเสีย 

ในอินญีล 1 โครินธ์ บทที่ 11 ข้อ 5-6

  1. การเข้าสุหนัต  ครั้นครบแปดวัน เป็นวันให้กุมารนั้นเข้าสุหนัต เขาจึงให้นาม      ว่าอีซาตามซึ่งทูตสวรรค์ได้กล่าวไว้ก่อน เมื่อยังมิได้ปฏิสนธิ์ในครรภ์

ในอินญีล ลูกาบทที่ 2 ข้อ 21

    • การถือศีลอด – ละศีลอด ฝ่ายมูซาเฝ้าพระเจ้าอยู่ที่นั่นสี่สิบวันสี่สิบคืน มิได้รับประทานอาหารหรือน้ำเลย และท่านจารึกคำพันธสัญญาไว้ที่แผ่นศิลา คือบัญญัติสิบประการ เตาร็อตอพยพบทที่ 34 ข้อ 28
    • การที่ไม่กินหมู หมูเป็นสัตว์แยกกีบ และมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้องจึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า เตาร็อตเลวีนิติบทที่ 11 ข้อ 7
Answering Islam Thailand, 1999 - 2006. All rights reserved.