- ข้อที่ต้องคิดในการประกาศกับมุสลิม -
สารบัญ
I.
3ข้อใหญ่ที่เป็นอุปสรรค
II.
อัลลอฮฺเป็นใคร?
III.
ลักษณะความคิดของมุสลิม
IV.
ความกดดันของครอบครัวและสังคมมุสลิม
V.
อุปสรรคของมุสลิมที่สนใจในท่านอีซา
VI.
การมอบชีวิตแก่ท่านอีซา
VII.
มุสลิมที่ศรัทธาอีซากับคริสตจักรท้องถิ่น
VIII.
การเติบโตในชีวิตผู้ติดตามอีซา
คำนำ
โลกในปัจจุบันมีคนประมาณ
6 พันล้านคน และ 1 ใน 5คนนั้นเป็นมุสลิม
แต่ในช่วงที่ผ่านมาการประกาศกับพวกพี่น้องมุสลิมก็มีผลน้อยมาก
กลุ่มมุสลิมยังมีการต่อต้านข่าวประเสริฐมาก
ในประเทศไทยกลุ่มที่ไม่ค่อยตอบสนองกับข่าวประเสริฐคือพี่น้องมุสลิมเช่นเดียวกัน
มุสลิมในประเทศไทยจำนวนมาก (ประมาณ 5 ล้านคน)
เขาส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ (ท่านอีซา) ยิ่งกว่านั้น
เขาไม่มีโอกาสฟังข่าวประเสริฐเพราะว่าคริสเตียนที่มีภาระใจกับพี่น้องมุสลิมมีน้อยมาก
คริสตจักรส่วนใหญ่กลัวมุสลิมในการประกาศข่าวประเสริฐ
มีคริสเตียนที่หว่านเมล็ดแห่งพระคุณไม่ทราบถึงวิธีการ
แล้วมีอีกเหตุผลหนึ่งที่คริสเตียนไม่ได้ประกาศกับพี่น้องมุสลิมในช่วงที่ผ่านมา
คือที่จะเข้าไปหาพี่น้องมุสลิมอย่างไร
และการขาดข้อมูลที่เหมาะกับมุสลิมก็เป็นปัญหาด้วย
พระเยซูคริสต์ทรงบัญชากับเราว่า “เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” เราจึงต้องออกไปประกาศกับชนชาติทุกชนชาติ
รวมทั้งพี่น้องมุสลิมด้วย
เราได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้เพื่อช่วยพี่น้องทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนและภาระใจในการรับใช้กับพี่น้องมุสลิม
หนังสือเล่มนี้จะช่วยคุณให้เข้าใจว่า
มุสลิมจะพบปัญหาอะไรเมื่อแสวงหาหรือตัดสินใจติดตามพระเยซูคริสต์
คำสอนในศาสนาอิสลามก็เป็นอุปสรรคในการต้อนรับพระเยซูให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของตัวเองอย่างไร
1.
3ข้อใหญ่ที่เป็นอุปสรรค
มุสลิมยอมรับไม่ได้ว่า
พระเจ้าทรงมีบุตรที่เท่าเทียมกันกับพระเจ้าในอำนาจและพระสิริ
ตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ มุสลิมถูกสอนมาว่า พวกคริสเตียนเชื่อพระเจ้าแต่3องค์
เพราะฉะนั้นเมื่อคริสเตียนพยายามดึงมุสลิมให้รับเชื่อท่านอีซา(พระเยซูคริสต์)
เขาต้องเจอคำถามว่า “1+1+1=1
เป็นไปได้อย่างไร?” สิ่งที่คริสเตียนอธิบายก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยากในความคิของพี่น้องดมุสลิม
พระเจ้าต้องเป็นหนึ่ง (เอกะ)
ถ้าเราบอกเขาว่า พระเจ้าทรงเป็นเอกะ แต่เป็น3สถานะนั้น
(คือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์) มุสลิมก็เข้าใจยาก เขาคิดว่า 3ก็ต้องเป็น3
แต่หนึ่งนั้นก็ต้องเป็นหนึ่ง
แต่ถ้าเราสังเกตพิจารณาอัลกุรอาน
ซึ่งเป็นคัมภีร์ของมุสลิม เราจะพบบางข้อที่พูดถึงความพิเศษของพระเยซู
ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง คือ
พระเยซูได้บังเกิดมาจากนางมัรยัม(นางมารีย์)โดยไม่มีพ่อ
ท่านบังเกิดมาโดยพระวาทะของพระเจ้าเท่านั้น
ตามคำยืนยันในพระคัมภีร์ท่านอีซา(พระเยซูคริสต์)ยังอยู่ก่อนนบีอิบรอฮีม(อับราฮัม)เกิดมาท่านอีซามาจากพระเจ้าโดยตรง
เพราะฉะนั้นท่านอีซาก็ถูกเรียกได้ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า
ท่านอีซากับพระเจ้าก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แต่พระองค์ก็ยอมรับสภาพเป็นมนุษย์เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้ได้รับความรอด
ในสมัยที่อิสลามยังไม่ได้เกิดมา
คริสตจักรแถบตะวันออกกลางกับนักวิชาการคริสเตียนได้คุยเรื่องนี้
แล้วตกลงว่า ท่านอีซา(พระเยซูคริสต์)ทรงเป็น “พระวาทะ” ซึ่งผู้ที่มาจากพระเจ้า
แล้วเนื่องจากพระคุณของพระเจ้าอัลกุรอานได้บันทึกเรื่องนี้ ในอัล-กุรอาน
ซูเราะฮฺ 3 ข้อ 45 บอกว่า
จงรำลึกถึงขณะที่มะลาอิกะฮ์(ทูตสวรรค์)กล่าวว่า
มัรยัมเอ๋ย ! แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่เธอซึ่งพจมานหนึ่งจากพระองค์
ชื่อของเขาคือ อัลมะซีห์ อีซาบุตรของมัรยัม
ในข้อนี้ “อัลมะซีห์ อีซา” พูดถึง
พระเยซู พระมะเซียห์ และ “พจมานจากพระองค์” นั้น ภาษาอาหรับอ่านว่า “กะลิมะฮ์”
ซึ่งหมายถึง ถ้อยคำของอัลลอฮฺ
แล้วในอัล-กุรอาน
ซูเราะฮฺอีกข้อหนึ่ง (ซูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอฺ 21.91) บอกว่า
ท่านอีซาเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า
ตามประวัติศาสตร์ของอิสลาม
นักวิชาการอิสลามเข้าใจว่า อีซา(พระเยซู)ถูกเรียก “ถ้อยคำของอัลลอฮฺ”และ“พระวิญญาณของพระเจ้า”นั้น มีความหมายพิเศษ ซึ่ง อีซาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา
แต่ดำรงอยู่โดยไม่มีการเริ่มต้น ตอนนี้มุสลิมส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า “ถ้อยคำของอัลลอฮฺ” ไม่มีการเริ่มต้นและไม่มีการสิ้นสุด
ดังนั้นอัลกุรอานเรียกท่านอีซาว่า “ถ้อยคำของอัลลอฮฺ” นั้น
เป็นโอกาสที่คริสเตียนจะแนะนำท่านอีซาซึ่งไม่เคยถูกสร้างมาและไม่มีการเริ่มต้น
ท่านอีซา คือ“ถ้อยคำของอัลลอฮฺ”ที่ยอมเป็นมนุษย์
เพราะฉะนั้นเรากล่าวได้ว่า อัลกุรอานยอมรับว่า
ท่านอีซาเหนือกว่ามุฮัมหมัดตั้งแต่เกิด
อิสลามได้ปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของท่านอีซาแต่อัลกุรอานยังมีหลายข้อที่ถือได้ว่า
ท่านอีซาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
ความเชื่ออีกข้อหนึ่ง
ซึ่งเป็นอุปสรรคในการรับเชื่อพี่น้องมุสลิม คือ การถูกตรึงบนไม้กางเขน
มุสลิมไม่สนใจเหตุผลทำไมท่านอีซาต้องถูกตรึงบนไม้กางเขน
แต่ปฏิเสธว่าเหตุการณ์นี้ไม่น่าเกิดขึ้นจริง
คำพยานอัลกุรอานในเรื่องนี้ไม่ชัดเจน มุสลิมบางคนเชื่อว่า
ท่านอีซาไม่ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่คนอื่นถูกตรึงแทน
บางคนเชื่อว่าท่านอีซาได้ถูกตรึงแต่ยังไม่ตายและที่หลังฟื้นขึ้น
บางคนบอกว่า พระเจ้าคงไม่อนุญาตให้ท่านอีซาตายอย่างนั้น
การปฏิเสธไม้กางเขนมีอิทธิพลต่อความศรัทธามุสลิม ซึ่งมุสลิมปฏิเสธข้อสำคัญ
ๆ ในความเชื่อของคริสเตียน เช่น การไถ่บาป
การเป็นคนชอบธรรมและการได้รับความรอดโดยพระคุณพระเจ้า
การฟื้นขึ้นชีพของท่านอีซา การเสด็จมาครั้งที่สอง
การสถิตอยู่ด้วยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ การบังเกิดใหม่เป็นต้น
โดยความเชื่อที่ท่านอีซาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อจะไถ่ความผิดบาปของเรา
เราจะมีโอกาสจะได้รับความรอด
แต่มุฮัมหมัดได้ปฏิเสธข้อเหล่านี้ทั้งหมดด้วยการปฏิเสธไม้กางเขน
มุสลิมก็เลยไม่เข้าใจถึงความรอดโดยพระคุณพระเจ้าเลย
การขัดแย้งในเรื่องไม้กางเขนเกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระคัมภีร์
เพราะคริสเตียนเชื่อว่า ท่านอีซาได้สิ้นชีวิตบนไม้กางเขน
เพราะว่าพระคัมภีร์ระบุไว้อย่างนั้น
แต่คำพยานเรื่องนี้ไม่ตรงกับหลักคำสอนในอัลกุรอาน
มุสลิมเชื่อมั่นว่าอัลกุรอานเป็นคัมภีร์สมบูรณ์
เพราะฉะนั้นพระคัมภีร์ที่หลักคำสอนไม่ตรงกับอัล-กุรอานจึงยอมรับไม่ได้
ตามความคิดมุสลิมพระคัมภีร์คริสเตียนไม่สมบูรณ์
มุสลิมส่วนใหญ่คิดว่าพระคัมภีร์ไม่ใช่คัมภีร์ของพระเจ้าแท้แต่ถูกบีดเบือนโดยมือมนุษย์
มุสลิมถือว่า พระคัมภีร์ไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้าที่สมบูรณ์ มุสลิมเชื่อว่า
อัลกุรอานเป็นถ้อยคำของพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบ คำสอนใด ๆ
ที่ไม่สอดคล้องกับอัลกุรอานนั้นเป็นสิ่งที่ถูกบีดเบือนและยอมรับไม่ได้
แต่ถ้าเราพิจารณาคำสอนในอัลกุรอาน
อัลกุรอานมีท่าทีสองอย่างสำหรับพระคัมภีร์ดังต่อไปนี้: บางข้อปฏิเสธถึงหลักคำสอนในพระคัมภีร์
ดูเหมือนจะไม่ยอมรับพระคัมภีร์ที่เป็นคัมภีร์ของพระเจ้า
แต่อีกหลายข้อในอัลกุรอานยังยืนยันว่า
พระคัมภีร์เป็นคัมภีร์ที่มาจากอัลลอฮฺ หลาย ข้อในอัลกุรอานบอกว่า
คัมภีร์เตารอต (พระคัมภีร์เดิม) และคัมภีร์อินญีล (พระคัมภีร์ใหม่)
เป็นคัมภีร์ที่มาจากอัลลอฮฺ
บางข้อในอัล-กุรอานแนะนำว่า
ถ้ามุสลิมอ่านอัลกุรอานและพบข้อที่ไม่เข้าใจนั้น
คัมภีร์เตารอตและคัมภีร์อินญีลจะช่วยได้ในการหาทางที่ถูกต้อง
ข้อต่อไปนี้เป็นข้อหนึ่งในอัลกุรอานที่ยืนยันในเรื่องนี้
หากเจ้าอยู่ในการสงสัย
ในสิ่งที่เราได้ให้แก่เจ้า ก็จงถามบรรดาผู้อ่านคัมภีร์ก่อนเจ้า(เตาร๊อด:พระคัมภีร์เดิม)โดยแน่นอนสัจธรรมได้มายังเจ้าจากพระเจ้าของเจ้า
ดังนั้นเจ้าจงอย่าอยู่ในหมู่ผู้สงสัย (ซูเราะฮฺ 10.94)
อัลกุรอานไม่ได้เห็นด้วยว่า
ท่านอีซาเป็นพระเจ้าและท่านสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
แต่อัลกุรอานยังยื่นยันหลายเรื่องที่คริสเตียนเราเชื่ออยู่ ซึ่ง
ท่านอีซาได้กำเนิดมาโดยไม่มีพ่อ (มาจากพระเจ้าโดยตรง คือทางพระวาทะ)
ท่านอีซาไม่เคยกระทำผิด (เป็นผู้บริสุทธิ์) ท่านอีซาทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ
ท่านอีซาได้ขึ้นไปสวรรค์โดยตรง
และในวันสิ้นยุคพระองค์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มุสลิมยังถือว่า
ท่านอีซาเป็นแค่นบีคนหนึ่ง แต่อัลกุรอานยังเป็นพยานว่า
ท่านอีซาเป็นผู้ที่พิเศษในหลายเรื่อง
และท่านเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดกับพระเจ้า
2. อัลลอฮฺเป็นใคร?
หลัก
3ประการที่เป็นอุปสรรคต่อการรับเชื่อของพี่น้องมุสลิมที่เชื่อในท่านอีซา(การที่ท่านอีซาเป็นบุตรของพระเจ้า; ไม้กางเขน; พระคัมภีร์)
ที่เราคุยกันแล้วนั้น เป็นอุปสรรค์ที่เรามองเห็นได้
แล้วปัญหาเช่นนั้นเป็นปัญหาที่เราแก้ไขได้
แต่เรายังมีปัญหาหลายข้อที่ซับซ้อนกว่านี้
ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงอัลลอฮฺ ในอิสลามอัลลอฮฺทรงเป็นเอกะ
ผู้ที่สูงสุด จนมนุษย์เราเข้าใจไม่ได้ อัลลอฮฺทรงอยู่ห่างไกลจากมนุษย์
ตามความสามารถของเรา เราเข้าใจอัลลอฮฺไม่ได้
อัลลอฮฺไม่มีการเริ่มต้นและไม่มีการสิ้นสุดไม่มีอะไรที่เปรียบเทียบกับอัลลอฮฺได้
เมื่อคริสเตียนเรียกอีซา(พระเยซู)บุตรของพระเจ้า มุสลิมคิดถึงทันทีว่า
ความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์ นั้นเป็นสิ่งที่มุสลิมยอมรับไม่ได้
มันเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า มุสลิมเชื่อ “เตาฮีด” อย่างเด็ดขาด ซึ่ง
ไม่มีพระเจ้านอกจากอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น
ความศรัทธาในความเป็นเอกะของอัลลอฮฺควบคุมชีวิตมุสลิมในทุกประการ
มุสลิมต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพราะความศรัทธาในข้อนี้เอง
จึงเป็นอุปสรรคสำหรับมุสลิมในการรู้จักท่านอีซาด้วย
ตามคำสอนของศาสนาอิสลามนั้น
มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้าแต่ถูกสร้างให้เป็นทาสของพระเจ้า
การกราบในการละหมาดคือเป็นสัญลักษณ์ที่เขาเป็นทาสต่อพระเจ้า คำว่า“อิสลาม”
หมายถึงว่า การยอมจำนน การเชื่อฟังต่อพระเจ้า และการถวายตัวเพื่อพระเจ้า
สำหรับมุสลิม “การอธิษฐาน”
คือไม่ใช่การสนทนากับพระเจ้า แต่เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง
พิธีประกอบในการทำละหมาดการแสดงการยอมจำนนต่อพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ถึงแม้ว่าทำละหมาดทุกวัน ๆ เขายังรู้สึกว่า พระเจ้าทรงอยู่ห่างไกล
การสนิทสนมกับพระเจ้าเหมือนอย่างที่ลูกสนิทกับพ่อแม่นั้นสิ่งที่มุสลิมเข้าใจไม่ได้
อันนั้นเป็นปัญหากับมุสลิมที่รับเชื่อท่านอีซาแล้ว มุสลิมที่รับเชื่อท่านอีซา(พระเยซู)ไม่คาดหวังว่า
พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด
มุสลิมที่รับเชื่อหลายคนยังรู้สึกว่า พระเจ้าอยู่ห่างไกล
จุดนี้เป็นจุดที่คริสเตียนเข้าใจยาก
อัลลอฮฺทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดและมีฤทธิ์อำนาจที่สามารถตัดสินอนาคตของ
มนุษย์ทุกคน โชค อุบัติเหตุ ความตาย
สิ่งร้ายหรือสิ่งดีทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานั้น
ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระเจ้า
ความเชื่อในด้านพรหมลิขิตก็มีอิทธิพลมากต่อชีวิตของมุสลิม
ชีวิตของมุสลิมก็เต็มไปด้วยข้อปฏิบัติที่ต้องกระทำและหน้าที่
มันสำคัญเพราะว่า มุสลิมคิดว่า อัลลอฮฺทรงเป็นผู้ตัดสินหรือผู้พิพากษาตามที่เขาปฏิบัติมา
สำหรับมุสลิมความสัมพันธ์กับพระเจ้าไม่สำคัญแต่การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ
เขาเชื่อว่า พระเจ้าทรงยอมรับเขา
เมื่อเขารักษาข้อปฏิบัติทุกประการอย่างสมบูรณ์
ชีวิตมุสลิมก็เหนื่อยเพราะเขาต้องทำตามข้อบังคับตลอด
เขาต้องอยู่ในความกลัวเมื่อเขาไม่ได้รักษาข้อเหล่านี้
ตามความศรัทธาของมุสลิมสิ่งที่มนุษย์ตัดสินใจได้ก็น้อยมาก
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาก็ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น
ความเข้าใจอย่างนั้นมีอิทธิพลต่อท่าทีของมุสลิมต่อความผิดบาปด้วย
มุสลิมถือว่าความบาปไม่เกี่ยวข้องกับการแยกออกจากพระเจ้า เขายอมรับว่า
มนุษย์อยู่ห่าง ไกลจากพระเจ้าอยู่แล้ว
ความบาปคือสิ่งที่มาจากการตัดสินใจผิด
มนุษย์ตัดสินใจผิดเพราะอัลลอฮฺได้สร้างมนุษย์ที่เป็นคนอ่อนแอและก็มีจุดอ่อนที่มักจะถูกทดสอบอย่างง่าย มนุษย์ตกเป็นคนบาปเพราะอัลลอฮฺได้สร้างมนุษย์อย่างนั้น
มนุษย์ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ที่เขาได้กระทำมา ถ้าเขาทำผิดบาปมากกว่าทำดี
เขาจะตกนรก ถ้าทำหน้าที่ทางศาสนาไม่สมบูรณ์ จะเข้าสู่สวรรค์ไม่ได้
เพราะฉะนั้น มุสลิมส่วนใหญ่ไม่มีความมั่นใจในการเข้าสู่สวรรค์ ถึงแม้ว่า
เขาทำหน้าที่ทางศาสนา ความกลัวที่จะไปนรกยังอยู่กับเขาตลอด
นอกจากมนุษย์เป็นคนอ่อนแอตั้งแต่เกิด
ยังมีอีกข้อหนึ่งที่ควบคุมชีวิตมุสลิม คือแผนการของอัลลอฮฺต่อชีวิตของเขา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตก็เกิดตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ การตัดสิน
คือใครจะไปสวรรค์หรือจะไปนรกนั้นขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น
ถึงแม้ว่า มนุษย์จะทำหน้าที่ทางศาสนาอย่างเต็มที่
เราไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเราจะไปสวรรค์ ในการไปสวรรค์หรือนรก
มนุษย์ไม่มีสิทธิ์
อัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้นจะตัดสินทุกประการกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์เหมือนอย่างเผด็จการ
มุสลิมมักจะคิดว่า ตัวเองเป็นทาสของอัลลอฮฺ ไม่ใช่เป็นบุตรหรือเป็นเพื่อน
หน้าที่ของเขา คือ ยอมจำนนและเกรงกลัวอัลลอฮฺเท่านั้น
พระเจ้าจะตัดสินอย่างไรมุสลิมก็ต้องยอมรับ
ไม่มีมุสลิมที่มั่นใจว่าเขาจะไปสวรรค์อย่างแน่นอน
มันไม่เกี่ยวข้องกับที่ว่าเขาได้ทำหน้าที่ทางศาสนาอย่างสมบูรณ์หรือไม่
ความกลัวในนรกอยู่กับมุสลิมตลอด เขาคิดว่า เขาเป็นทาส
ซึ่งไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินอนาคตตัวเอง
เหตุฉะนั้น
ในระบบศาสนาอิสลามไม้กางเขนไม่จำเป็น ไม่ต้องการผู้ช่วยให้รอด
อัลลอฮฺไม่ต้องการเครื่องสัตวาบูชา
อัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้นจะตัดสินใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้
ถ้าอัลลอฮฺทรงปรารถนาจะยกโทษใคร
พระองค์ก็ทำได้ทันทีตามพระประสงค์ของพระองค์ ถ้าพระเจ้าทรงตัดสินว่า
ใครจะไปนรกก็ต้องเป็นอย่างนั้น มุสลิมก็เข้าใจไม่ได้ว่า
อัลลอฮฺทรงรักเราด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข
หรือการไถ่บาปโดยพระคุณของพระเจ้า หรือคนใดเชื่อพระคุณนี้
เขาจะเข้าไปสวรรค์อย่างแน่นอน
ความเข้าใจอัลลอฮฺอย่างนั้น
มีอิทธิพลต่อชีวิตและวัฒนาธรรมของมุสลิมในทุกส่วน ในครอบครัว
พ่อมีอำนาจเหมือนอัลลอฮฺ เขาตัดสินทุกอย่างตามที่เขาชอบ
ครูมีอำนาจเหนือนักเรียน เขาไม่อนุญาตให้นักเรียนถามเรื่องความศรัทธา
ผู้ว่าจ้างปกติสั่งผู้ถูกว่าจ้างเหมือนทาส กษัตริย์หรือ กาหลิป (Caliph) และสุลม่าน (Sultan)ใช้อำนาจโดยไม่มีขอบเขต
สำหรับคนอ่อนแอ
ไม่สบายหรือยากจน มุสลิมถือว่า มันมาจากอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺได้ตัดสินให้เขาเป็นอย่างนั้น แต่สำหรับคนมีอำนาจ เก่งหรือรวยนั้น
มุสลิมถือว่า การอวยพรทั้งสิ้นมาจากอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น
มุสลิมคงเข้าใจไม่ได้ว่า
ทำไมพระเยซู(ท่านอีซา)ได้ยอมรับสภาพเป็นมนุษย์และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเรา
แต่สำหรับคริสเตียน มันเป็นข่าวดี อาจารย์เปาโลก็บอกในพระคัมภีร์ว่า “ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า
เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า” (2 คร.12.9)
ความเชื่อ
อีกข้อหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับคริสเตียน คือ
พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาและพระเจ้าทรงรักโลก
จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อช่วยมนุษย์ไม่ให้ตกในนรก “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3.16)
คำสอนนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่มุสลิมเข้าใจไม่ได้
เขารู้สึกสบายใจที่พระเจ้าทรงอยู่ไกลจนมนุษย์เข้าใจไม่ได้
เขาชินกับพระเจ้าที่เป็นเผด็จการ
จะยำเกรงและกลัวอัลลอฮฺก็รู้สึกปกติสำหรับมุสลิม
ประเด็นที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขาอย่างใกล้ชิด
หรือพระเจ้าทรงเป็นห่วงใยจนพระองค์ทรงยอมรับสภาพเป็นมนุษย์
สำหรับมุสลิมคงเป็นประเด็นที่แปลกมาก มุสลิมเชื่อว่า
แม้แต่ในสวรรค์อัลลอฮฺไม่ใช่อยู่ใกล้กับมนุษย์ อัลลอฮฺทรงอยู่ไกลจากเรา
พระองค์อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ แต่พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่า
พระเจ้าทรงยอมรับสภาพเป็นมนุษย์ คือเป็นท่านอีซา (พระเยซูคริสต์)
แต่ว่าสำหรับพี่น้องมุสลิมความเชื่อในเรื่องนี้ก็ไม่ง่าย เพราะฉะนั้น
การที่จะประกาศข้อนี้คริสเตียนเราต้องแสดงความรักต่อกันและต้องอธิษฐานเผื่อพี่น้องมุสลิม
นอกจากนั้น มุสลิมไม่สามารถเข้าใจความรักของพระเจ้า (อัลลอฮฺ)ได้
III. ลักษณะความคิดของมุสลิม
มุสลิมมีลักษณะพิเศษในการคิด
โดยเฉพาะเมื่อเขาคิดถึงอัลลอฮฺ
การยอมจำนนต่ออัลลอฮฺคือเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของมุสลิม
เขาต้องยำเกรงอัลลอฮฺในทุกกรณี ถ้าอัลลอฮฺพูดอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
คำสอนทางศาสนาก็ต้องยอมรับว่า เป็นความจริง เมื่อเราสงสัยก็ไม่อนุญาตให้ใช้ความคิดของตนเอง
จะคิดตามเหตุผลก็ไม่ได้ เพราะศาสนาอิสลามไม่ไห้สงเสริมด้านนี้
เมื่อคริสเตียนคุยกับมุสลิมในเรื่องความศรัทธา สิ่งที่ยากที่สุด คือ
ให้เขาคิดตามเหตุผล
ท่าทีแบบนี้ก็เกี่ยวข้องกับวิธีการได้รับคัมภีร์ของมุสลิมซึ่งอัลกุรอาน
เมื่อมุฮัมหมัดได้รับคัมภีร์ (อัล-กุรอาน) เขาไม่ได้ใช้ความคิดเลย
เขาได้รับคัมภีร์ คือการท่องจำอย่างเดียว ทูตสวรรค์ (ภาษาอาหรับ –
มะลาอิกะฮ์) กาเบรียลพูดและมุฮัมหมัดตาม และท่องจำข้อเหล่านี้
มันไม่เหมือนความเชื่อของคริสเตียน คริสเตียนเชื่อว่า
พระเจ้าทรงเปิดเผยพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ทรงได้ใช้หลายวิถี
บางครั้งเปิดเผยโดยผ่านผู้เผยพระวจนะ บางครั้งใช้เหตุการณ์ต่าง ๆ
ในประวัติศาสตร์ บางครั้งพระเจ้าพูดโดยตรง
แต่พระเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะที่เป็นคนที่มีสติ
ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ ในขณะเดียวกัน
ผู้เผยพระวจนะยังมีความคิดของตนเอง
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ทุกอย่างและควบคุมให้สำแดงตามพระประสงค์ของพระเจ้า
แต่มุสลิมถือว่า คัมภีร์ของพระเจ้านั้น
ต้องเป็นคำที่พระเจ้าทรงพูดโดยตรงเท่านั้น
อัลกุรอานซึ่งเป็นคัมภีร์ของมุสลิมนั้น
นบี(ศาสดา)มุฮัมหมัดได้รับจากอัลลอฮฺโดยตรงผ่านทูตสวรรค์(มะลาอิกะฮ์)
กาเบรียล ใช้ภาษาอาหรับ ซึ่งมุสลิมถือว่า เป็นภาษาสวรรค์
เพราะฉะนั้นมุสลิมถือว่า คัมภีร์นั้น
ต้องเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงดำรัสเท่านั้น
สิ่งที่เป็นบทกวีหรือคำพยานหรือคำที่อธิบายเหตุการณ์ ต่าง ๆ นั้น
เขาไม่ยอมรับว่า เป็นคัมภีร์ที่สมบูรณ์ เขาถือว่า
อัล-กุรอานเท่านั้นเป็นคัมภีร์ที่อัลลอฮฺเป็นผู้ที่ตรัส
และภาษาอาหรับคือภาษาที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะพระเจ้าทรงใช้ภาษานี้
เมื่ออัลลอฮฺได้ประทานคัมภีร์ อัล-กุรอานกับมุฮัมหมัด มุสลิมก็มั่นใจว่า
คัมภีร์ของเขาสมบูรณ์ที่สุด
เพราะอัล-กุรอาน
เป็นคัมภีร์ที่พระเจ้าทรงตรัสโดยตรง
ศาสนาอิสลามไม่ได้อนุญาตให้มุสลิมสงสัยคำสอนในอัลกุรอาน
ห้ามวิจารณ์หรือวิเคราะห์คำสอนในอัล-กุรอานอย่างเด็ดขาด มุสลิมถือว่า
คำสอนทุกประการในอัลกุรอานก็ชัดเจนและไม่ผิดเลย ถ้าคัมภีร์บอกอย่างนั้น
มุสลิมต้องเชื่ออย่างนั้น เพราะมนุษย์ไม่สามารถทดสอบถ้อยคำของอัลลอฮฺได้
ท่าทีแบบนั้นทำให้มุสลิมไม่ได้ใช้เหตุผลและไม่ดิ้นรนค้นหาน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยความสัมพันธ์กับพระเจ้า
มุสลิมส่วนใหญ่เชื่อและติดตามสิ่งที่ผู้นำโดยไม่ได้ไตร่ตรอง
ผู้นำมีอิทธิพลมากในการเข้าใจคำสอนของอัล-กุรอาน
เมื่อเราประกาศในสิ่งที่ไม่ตรงกับสิ่งที่มุสลิมได้เรียนมา
เขาจะไม่ยอมคุยกับเรา เขาคงหยุดคุยและมักจะบอกเราว่า
จะไปคุยกับผู้สอนหรืออาจารย์ทางศาสนาอิสลามดีกว่า
ท่าทีนี้ต่อไปในการเรียนหรือความคิดเห็นในการดำเนินชีวิตทุกวัน
มุสลิมชอบคุยเรื่องการเมือง แต่ความคิดเห็นเขาส่วนใหญ่มาจากผู้นำทางศาสนา
คิดตามเหตุผลและวิเคราะห์ตามความคิดเห็นของตัวเองน้อยมาก
วิธีเรียนศาสนาอิสลามคือการท่องจำ ไม่ได้ใช้ความเข้าใจตามเหตุผล
มุสลิมไม่กล้าใช้ความคิดเห็นของตนเอง
ท่าทีนี้ไม่ให้มุสลิมค้นหาความสัมผัสกับพระเจ้าโดยตรง
เขารู้สึกปลอดภัยเมื่อเขาคิดและทำตามที่ผู้นำทางศาสนาสอนมาแล้ว
ศาสนาอิสลามไม่ได้สอนให้คิดและวิเคราะห์ตามเหตุผล
ในการเข้าใจคำสอนของอัลลอฮฺความคิดเห็นของตัวเองไม่สำคัญ
เมื่อเขาพบข้อที่ไม่ตรงกับที่เขาเรียนจากผู้นำทางศาสนาอิสลาม
มุสลิมส่วนมากไม่กล้าอภิปรายเรื่องนี้ตามที่เขาเข้าใจ
เมื่อมุสลิมอ่านอัล-กุรอาน เขาไม่พยายามที่จะเข้าใจข้อเหล่านี้
ในการเข้าใจความหมายคำสอนในอัล-กุรอาน เขามักจะพึ่งผู้นำทางศาสนา
ในการเข้าใจคำสอนอัลลอฮฺ
นบีมุฮัมหมัดเป็นคนที่สำคัญมาก ชีวิตและการปฏิบัติ(อัลฮาดีส)ของมุฮัมหมัด
มุสลิมถือว่า เป็นแบบอย่างที่มนุษย์ทุกคนต้องทำตาม
ถ้ามุสลิมเจอเหตุการณ์ที่คัมภีร์อัลกุรอานไม่เคยพูดถึง
เขาศึกษาการปฏิบัติของนบีมุฮัมหมัดที่บันทึกในอัลฮาดีส
ถึงแม้ว่านบีมุฮัมหมัดอยู่ในโลกพันกว่าปีก่อน
มุสลิมเชื่อว่าความคิดของมุฮัมหมัดก็ยังเป็นแบบอย่างสมบูรณ์ที่มุสลิมต้องทำตาม
ในฮาดีสบอกว่ามุฮัมหมัดได้กระทำอย่างนี้ มุสลิมก็อยากทำอย่างนั้น มุสลิมไม่กล้าทำและคิดตามเหตุผลของตัวเอง
ความคิดใหม่หรือการสร้างสรรค์ใหม่ในความศรัทธานั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นที่ได้เรียนมาได้
เพราะฉะนั้นมุสลิมยอมรับคำสอนใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับท่านอีซา
ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มาเป็นมนุษย์นั้นเข้าใจยาก
คัมภีร์อัล-กุรอานเป็นแบบบทกวี
ซึ่งความคล่องแคล่วสำคัญกว่าความชัดเจนของคำสอน
แล้วอัล-กุรอานไม่ได้ถูกจัดตามเรื่องเล่าหรือกระบวนการณ์ตามเวลา
ไม่ใช่เป็นเรื่องเล่า เพราะฉะนั้น เข้าใจคำสอนของอัลกุรอานก็ไม่ง่าย
ยิ่งกว่านั้น ภาษาอาหรับ ซึ่งมุสลิมถือว่า เป็นภาษาสวรรค์ก็เป็นอุปสรรค
ถึงแม้ว่าอ่านไม่เข้า แต่เขาชอบอ่านอัลกุรอานที่เป็นภาษาอาหรับ เขาถือว่า
อ่านอัลกุรอานที่เป็นภาษาอาหรับสมบูรณ์
มุสลิมไม่ยอมอ่านอัลกุรอานที่เป็นภาษาท้องถิ่น
ความเข้าใจคำสอนในอัล-กุรอานตามเหตุผลนั้นก็ไม่สำคัญ
เพราะเหตุผลเหล่านี้
มุสลิมจึงเข้าใจหลักคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล (Bible)ก็ยาก
มุสลิมส่วนใหญ่ไม่กล้าอ่านคัมภีร์ไบเบิล
มุสลิมบางคนอาจเข้าใจข่าวประเสริฐแต่คนที่ตัดสินใจติดตามท่านอีซาและยอมรับความรักของพระเจ้าที่ได้สำแดงบนไม้กางเขนนั้นน้อยมาก
เพราะท่าทีของมุสลิมที่เขาได้เรียนมา
เพราะฉะนั้น
เมื่อแนะนำข่าวประเสริฐกับพี่น้องมุสลิม เราต้องเข้าใจท่าทีของมุสลิม
มุสลิมส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนความคิดเห็นในเวลาสั้น ๆ เขาต้องใช้เวลานาน
คริสเตียนต้องใช้วิธีทำให้มุสลิมคิดเอง แล้วให้ค่อย ๆ เปลี่ยนความคิด
แล้วคริสเตียนพยายามท่องจำข้อพระคัมภีร์และใช้ข้อเหล่านี้เมื่อเขาพูดคุยกับมุสลิม
บ่อยครั้งพยายามตั้งคำถามทำให้มุสลิมคิดเองตอนที่เขาอยู่คนเดียว
แล้วคริสเตียนต้องเข้าใจว่า ความศรัทธาของมุสลิมไม่ใช่ถูกสร้างบนเหตุผล
แต่มันมาจากที่เรียนมา ความมั่นใจในความเชื่อนั้นผสมกันกับการปฏิบัติ
พื้นฐานความศรัทธาของมุสลิมไม่ใช่ด้วยความเข้าใจ
แต่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกมากกว่า
เพราะฉะนั้นความมั่นใจของคริสเตียนในความรอดเป็นเหตุทำให้มุสลิมเริ่มเปิดใจต่อท่านอีซา
IV. ความกดดันของครอบครัว/สังคมมุสลิม
เมื่อเราประกาศกับพี่น้องมุสลิม
เราต้องคิดถึงความกดดันที่มาจากครอบครัวและสังคมมุสลิม
มุสลิมส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวอย่างสนิทสนม
เมื่อตัดสินใจอะไรก็ต้องคิดถึงครอบครัวหรือสังคมที่เกี่ยวข้องกันเป็นสิ่งที่สำคัญก่อน
มุสลิมไม่มีอิสระทำตามความคิดเห็นของตนเอง สำหรับมุสลิม
การตัดสินใจที่สำคัญ ๆ ไม่ใช่ของตัวเองแต่เป็นของกลุ่ม
โดยเฉพาะเรื่องความศรัทธานั้น ตัดสินใจเองยาก เขารู้สึกสบายใจกว่า
เมื่อทำตามคนอื่น ในสังคมมุสลิม ความกดดันที่มาจากกลุ่มนั้นสูงกว่าสังคมอื่น
ๆ
แต่เนื่องจากอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตก
ท่าทีของรุ่นใหม่ค่อย ๆ เปลี่ยน
เขาเริ่มคิดถึงชีวิตส่วนตัวและตัดสินใจตามอิสระ
ทฤษฎีทางสังคมที่ยึดถือในสิทธิเสรีภาพของบุคคลก็มากขึ้น
แต่มุสลิมส่วนใหญ่ยังอยู่ในอิทธิพลของกลุ่ม มุสลิมที่มีความสนใจในท่านอีซา
(พระเยซู)หลายคนไม่กล้าค้นหาความจริง
เพราะกลัวความกดดันที่มาจากครอบครัวและสังคมมุสลิม
การตัดสินใจตามอิสระของบุคคลนั้นยังไม่ใช่การตัดสินใจของเขาเอง
ยกตัวอย่างเช่น การแต่งงาน
ผู้ชายผู้หญิงพบกันเองและตัดสินใจที่จะแต่งงานกันนั้น
สังคมมุสลิมส่วนมากยังไม่ยอมรับ พ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดให้พบกัน
และงานสมรสนั้นเป็นเรื่องของกลุ่มไม่ใช่เรื่องของส่วนบุคคล
เพราะฉะนั้น
มุสลิมคนหนึ่งตัดสินใจว่า จะเชื่อท่านอีซา
เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้ช่วยให้รอดนั้น
ไม่ใช่เรื่องของส่วนบุคคลของคนนั้น ไม่ใช่เป็นกรณีของตัวเองแต่เป็นของกลุ่ม
เมื่อเขาเชื่อในพระเยซู เขาต้องสู้กับหลักข้อเชื่อต่าง ๆ ที่เขาเรียนมา
แต่ยิ่งกว่านั้นเขาต้องคิดถึงครอบครัว
การตัดสินใจของเขาเป็นการทำให้ครอบครัวเสียชื่อครอบครัว เมื่อเขาประกาศว่า
เขาเป็นคริสเตียน เขาต้องเผชิญการต่อต้านของครอบครัว ญาติพี่น้อง
เพื่อนบ้านทุกคนคงอาจต่อต้านเขา เหตุการณ์นั้นเป็นความทุกข์
มุสลิมที่เชื่อบางคน ไม่กล้าเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้จนกลับไปหาสิ่งเก่า ๆ
ความกดดันที่มาจากสังคมนั้นเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับมุสลิมที่เชื่อใหม่
คริสเตียนเราต้องเข้าใจด้านนี้
เมื่อเราประกาศกับพี่น้องมุสลิม ต้องคิดถึงความกดดันของครอบครัวและสังคม
เราต้องเข้าใจว่า เมื่อเขาตัดสินใจที่จะติดตามท่านอีซา เขาจะเจอปัญหาอะไร
บางครั้ง ถึงแม้เขาตัดสินใจแล้ว เราจะแนะนำเขาว่า ไม่เปิดเผยทันที
อาจแอบเชื่อชั่วคราว
สอนเขาตัวต่อตัวและช่วยเขาให้พร้อมจะพบปัญหาที่จะเข้ามาในอนาคต
ถ้ามีผู้เชื่อที่เคยเป็นมุสลิมมาก่อน ร่วมมือกับเขาก็ดี
และแนะนำทางที่เหมาะกับผู้เชื่อใหม่ ถ้าเป็นไปได้ คือสร้างกลุ่มใหม่ คือ
กลุ่มพี่น้องที่เคยเป็นมุสลิม
แล้วผู้เชื่อใหม่ให้ร่วมกลุ่มที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
นั่นเป็นการดีที่สุด
ผู้นำคริสเตียนบางคนไม่เข้าใจสภาพของมุสลิมที่เชื่อใหม่
เขามักจะดึงมุสลิมผู้เชื่อใหม่ให้เป็นสมาชิกคริสตจักรท้องถิ่น
เขาสนใจแต่การเพิ่มจำนวนสมาชิกคริสตจักร ท่าทีแบบนั้นเป็นการไม่สมควร
เราต้องหาวิธีดีที่สุดทำให้พี่น้องมุสลิมผู้เชื่อใหม่โตขึ้นด้วยความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์
แล้วอีกข้อหนึ่งที่เราต้องคิดนั้น
เราต้องหาวิธีที่เหมาะกับพี่น้องมุสลิมที่เชื่อ
ทำให้เขาสามารถอยู่ในสังคมมุสลิมต่อไปได้
และทำให้เขาเป็นพยานกับพี่น้องของเขา ถ้าเขาประกาศว่า
เขาเป็นคริสเตียนนั้น เขาคงถูกไล่ออกจากครอบครัวทันทีแล้วเขาคงไม่มีโอกาสเป็นพยานกับญาตพี่น้องเขาและสังคมมุสลิม
เขาคงทำหน้าที่ในการเป็นพยานกับพี่น้องของเขาไม่ได้
เราต้องนำเขาให้เขาเชื่อฟังคำสั่งของพระเยซูดังนี้
“จงกลับไปบ้านเรือนของตัวและบอกชาวเมืองถึงเรื่องการใหญ่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้า”
(ลูกา8.39)
V. อุปสรรคของมุสลิมที่สนใจในท่านอีซา
มุสลิมส่วนใหญ่รู้สึกลำบากในการเปิดใจต่อท่านอีซา
แต่เมื่อมุสลิมเปิดใจแล้ว เขาต้องเจออุปสรรคอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าใจยาก
เมื่อเขาต้อนรับอีซาให้เป็นผู้ช่วยให้รอด
พี่น้องมุสลิมรู้สึกผิดต่อคำสอนสำคัญที่สุดในศาสนาอิสลาม คือ
ความเชื่อในเอกะของอัลลอฮฺ เขาเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า
ไม่มีพระอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ แล้วผู้นำศาสนาอิสลามสอนเขาตลอดว่า
ถ้าประมาทในข้อนั้นไม่มีทางที่ได้รับการยกโทษ คนใดนับถือมนุษย์หรือพระอื่น
ๆ ให้เปรียบพระเจ้า นั่นเป็นบาปใหญ่ที่ยกโทษไม่ได้ (คัมภีร์อัลกุรอาน
ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน (Al Imran) 116) ในอัลกุรอานเตือนอีกข้อหนึ่งว่า คนใดที่ละทิ้งความศรัทธาเดิม
คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90)
เมื่อพี่น้องมุสลิมเชื่อท่านอีซา
เขาต้องสู้กับความศรัทธาใหม่ที่ขัดแย้งกันกับคำสอนในอิสลาม
ความกดดันที่มาจากครอบครัวนั้นมีอยู่แล้ว แต่ยิ่งกว่านั้น
มุสลิมที่เชื่อใหม่ต้องต่อสู้กับความกลัวที่มาจากคำสอนเตาฮีด (Tawhid)
มันเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับมุสลิมที่อยากจะติดตามอีซา อุปสรรคเรื่องนั้น
สิ่งที่พิเศษในอิสลาม ศาสนาอื่น ๆ นั้น เริ่มก่อนอีซามาในโลก
ศาสนานั้นไม่มีคำสอนเกี่ยวข้องกับท่านอีซา
แต่ศาสนาอิสลานนั้นเกิดขึ้นตอนที่ศาสนาคริสต์มีทั่วโลก
เพราะฉะนั้นศาสนาอิสลามมีคำสอนที่ต่อต้านกับความเชื่อในท่านอีซา
ตั้งแต่เป็นเด็กมุสลิมต้องฟังบ่อย ๆ ว่า อีซาไม่ได้เป็นพระเจ้า
อีซาเป็นแค่ นบีองค์หนึ่ง คำสอนเรื่องนั้นเป็นปัญหายากที่แก้เกือบไม่ได้
เมื่อมุสลิมอยากเชื่อท่านอีซา คำสอนเหล่านี้ที่เรียนมา จะเป็นอุปสรรค
มุสลิมส่วนใหญ่ถือว่า
คำสอนในอัลกุรอานนั้นคำสอนที่พระเจ้าทรงเปิดเผยกับมนุษย์เราโดยตรง
แล้วบางข้อในอัลกุรอานบอกว่า อีซาไม่ใช่พระเจ้า เพราะฉะนั้น
เมื่อมุสลิมอยากจะเชื่อท่านอีซาซึ่งเป็นพระเจ้าที่ยอมรับสภาพเป็นมนุษย์เพื่อจะช่วยเรา
เขาต้องสู้กับคำสอนเก่าที่เรียนมา เราต้องเข้าใจ สำหรับมุสลิมที่เชื่อใหม่
การที่จะเข้าใจในท่านอีซาว่า เป็นพระเจ้าที่รับสภาพป็นมนุษย์นั้นเข้าในยาก
บางคนบอกว่า
ที่จะแก้ปัญหาข้อนี้ เราต้องวิจารณ์อัลกุรอานก่อน เพราะคำสอนอัลกุรอานกับ
คำสอนคัมภีร์ไบเบิลไม่ตรงกัน เราไม่เชื่อว่า
อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่มาจากพระเจ้า
แต่ถ้าเราเริ่มคุยด้วยการปฏิเสธอัลกุรอาน มุสลิมเชื่อใหม่อาจสับสน
เราต้องอธิบายว่า ทำไมอัลกุรอานมีปัญหาที่เป็นคัมภีร์ของพระเจ้า
ซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อนมาก บางคนก็ไม่เห็นด้วยในวิธีการนี้
เขาคิดว่า
คำสอนอัลกุรอานในเรืองท่านอีซายังเป็นช่องให้พี่น้องมุสลิมคิดได้ว่า
ท่านอีซาเป็นพระเจ้าที่ใช้แบบเป็นมนุษย์
ตามหลักฐานของอัลกุรอาน ท่านอีซาเป็นมนุษย์ที่ไม่เหมือนใคร
ทำไมอีซาเกิดมาจากพระเจ้าโดยตรง? แล้วมันมีความหมายพิเศษอย่างไร?
มุสลิมบางคนอาจถามว่า
ในประวัติศาสตร์มนุษย์มีอีกคนหนึ่งที่มาจากพระเจ้าโดยตรง คือ อาดัม
แต่อีซากับอาดัมยังต่างกัน ซึ่งตอนที่พระเจ้าทรงสร้างอาดัม
พระเจ้ายังใช้วัสดุ คือ ดิน แต่อีซาเกิดมาจากว่างเปล่า มาจากพระเจ้าโดยตรง
แล้วหลายข้อในอัลกุรอานได้ยืนยันว่าท่านอีซาเป็นคนพิเศษ บางคนก็เลยถือว่า
คัมภีร์อัลกุรอานจะเป็นตัวเชื่อม ทำให้พี่น้องมุสลิมเริ่มคิดว่า
ท่านอีซาเป็นใคร
อย่างไรก็ตาม
มุสลิมที่เรียนเตาฮีด(Tawhid) มาตั้งแต่เด็ก
ๆ เข้าใจยากในหลักคำสอนที่ว่าท่านอีซาเป็นพระเจ้าที่ยอมเป็นมนุษย์
คนใดเชื่อว่า ท่านอีซาได้เปรียบเทียบกับพระเจ้านั้น ไม่มีการยกโทษเลย
มุสลิมหลายคนกลัวเรื่องนี้ ก็เป็นอุปสรรคในการศรัทธาท่านอีซาอย่างจริงจัง
แต่เราต้องเผชิญเรื่องนี้
เมื่อเราช่วยพี่น้องมุสลิมที่เข้ามาเป็นสาวกของท่านอีซา ถ้าไม่แก้ปัญหานี้
มุสลิมที่รับเชื่อจะไม่เติบโตขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณ
และจะทุ่มเทในการติดตามอีซาได้ยาก เพราะความกลัวที่มาจาก คำสอนเตาฮีด
ดึงเขาไม่ให้ไปข้างหน้า
เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยพี่น้องมุสลิมที่จะสู้ชนะกับเรื่องนี้
เพื่อจะช่วยในด้านนี้เราต้องทำอย่างไร?
ถ้าเรามีความรู้ทางด้านคัมภีร์อัลกุรอาน
ใช้หลาฐานจากคัมภีร์อัลกุรอานทำให้เขาเข้าใจว่า ท่านอีซาไม่เหมือนใคร
หรือให้เขาศึกษาคัมภีร์อินญีล จะได้เข้าใจว่า ท่านอีซาเป็นใคร
บางครั้งเขาต้องการการอัศจรรย์ที่จะชนะปัญหานี้ ซึ่งบางคนพบอีซาในฝัน
บางคนสัมผัสอีซาอย่างชัดเจนโดยการรักษาโรคต่าง ๆ เมื่อเขาเข้าใจชัดเจนว่า
ท่านอีซาเป็นพระเจ้า เขาจะเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ
และเป็นสาวกของท่านอย่างจริงจัง เขาจะรู้จักพระเจ้ามากขึ้นด้วย
VI. การมอบชีวิตกับท่านอีซา
เมื่อมุสลิมตัดสินใจที่จะติดตามอีซา
เขาอดพูดความศรัทธาของเขาไม่ได้ ถ้าเขาไม่ได้ระวัง
คนอยู่ใกล้ชิดกับเขาก็คงจะทราบที่เขาได้เปลี่ยนแปลง เขาคงรู้ว่า
คนนี้มีความศรัทธาใหม่ที่เกี่ยวข้องกับท่านอีซา
เขาสงสัยและถามจนเขาทราบอย่างชัดเจน หลังจากทราบว่า
มุสลิมคนนี้รับเชื่อท่านอีซา เขาคงวิจารณ์ความเชื่อของคริสเตียน
หรือเตือนเขาให้กลับความศรัทธาเดิม เพื่อนส่วนใหญ่อาจจะไม่อยากพบเขา
ญาติพี่น้องก็คงต่อต้านเขามาก ถ้าคนที่แต่งงานแล้วนั้น
ภรรยาหรือสามีอาจจะขอหย่ากันก็ได้ ลูกๆ ก็ อยู่ด้วยกันก็ไม่ได้
หลังจากนั้นทั้งชุมชนคงจะพิพากษาและสังเกตดูเขา
ครอบครัวของเขาคงอยากตัดความสัมพันธ์กับเขา
ครอบครัวเขาอาจกลัวเสียหน้าในสังคม เพราะว่า
เชื่อในศาสนาอื่นนั้นเป็นสิ่งที่น่าอายสำหรับครอบครัวมุสลิม
บางครั้งอาจมีอิทธิพลต่อการทำธุรกิจด้วย
ตามธรรมดาครอบครัวพยายามดึงเขาให้กลับความศรัทธาเดิม
ถ้าไม่เชื่อฟังเขาใช้วิถีขู่ให้กลับ
บางครั้งเขาใช้วิธีรุนแรงหรือไม่ให้ไปโรงเรียน หรือบังคับให้ออกจากบ้าน
และไม่อนุญาตให้กลับบ้านนอกจากจะละทิ้งความศรัทธาในท่านอีซา
อันนี้เป็นวิธีหนึ่งที่เขาจะรักษาชื่อครอบครัว
บางข้อในอัลกุรอานได้บอกว่า
คนที่ออกจากศาสนาอิสลามก็ฆ่าได้ (ซูเราะห์ อัน-นิซาอฺ
90; ซูเราะฮฺ อันนะหฺลฺ 107) ในปัจจุบัน
กฎหมายสามัญแต่ละประเทศห้ามฆ่าคนเพราะการเปลี่ยนความศรัทธา
แต่ปัญหานี้ก็ยังเกิดขึ้นอยู่ แย่กว่านั้น
ประเทศอิสลามบางประเทศเอากฎหมายอิสลาม (คือ กฎหมายซาเรียฮฺ) มาให้เป็นกฎหมายสามัญ
ซึ่งเขาอยากจะทำเหมือนคัมภีร์ของเขาสั่งไว้ เพราะฉะนั้น
คริสเตียนที่อยากช่วยมุสลิมเชื่อใหม่ก็ต้องเข้าใจเรื่องนี้
มุสลิมที่รับเชื่อใหม่อาจไม่ถึงถูกฆ่า
แต่ส่วนใหญ่ต้องแยกจากครอบครัวและญาติพี่น้องเกือบทุกคน
เพื่อนสนิทก็ไม่อยากคบกับเขา ครอบครัวและชุมชนเขาจะดูถูกหรือถูกประณาม
เขาคงรู้สึกว่า อยู่คนเดียวในโลกนี้ รู้สึกเหงา
ไม่มีกลุ่มที่เขารู้สึกได้ว่า “เป็นเรา”
ในประเทศไทย
รัฐบาลอนุญาตให้คนไทยทุกคนมีอิสระในการเลือกความศรัทธาของตนเอง
ตามกฎหมายของไทยพี่น้องมุสลิมก็มีสิทธิที่เลือกศาสนาอื่น ๆ
แต่ความกดดันของสังคมมุสลิมยังเป็นอุปสรรคต่อมุสลิมที่อยากเชื่อท่านอีซา
มุสลิมที่เชื่ออีซาส่วนใหญ่ถูกไล่ออกจากชุมชนและครอบครัว
และไม่อนุญาตให้เยี่ยมพ่อแม่ได้
สำหรับคนที่แต่งงานนั้นอาจจะหย่ากันกับคู่สมรส อยู่ด้วยกับลูก ๆ
คงไม่ได้ด้วย มุสลิมที่เชื่อบางคนไม่ได้เยี่ยมครอบครัว
ถึงแม้ว่าพ่อแม่เขาเสียชีวิต
สำหรับมุสลิมผู้รับเชื่อใหม่
ร่วมเป็นสมาชิกคริสตจักรท้องถิ่นก็ไม่ง่าย
คริสตจักรไทยชอบกินเนื้อหมูซึ่งมุสลิมกินไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น
สมาชิกบางคนบังคับมุสลิมที่เชื่อใหม่ให้กินหมู เพราะเขาถือว่า
อันนี้เป็นวิธีพิสูจน์และแสดงความเชื่อใหม่ของผู้เชื่อใหม่
แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย มุสลิมที่เชื่อใหม่ต้องการความช่วยเหลือและดูแลเป็นพิเศษ
แต่สมาชิกคริสตจักรท้องถิ่นก็ไม่ทราบว่า
มุสลิมที่เชื่อใหม่ต้องการอะไรบ้าง
มุสลิมที่เชื่อใหม่คาดหวังที่คริสตจักรท้องถิ่นจะเป็นครอบครัวใหม่เพื่อเขา
เขาคิดว่าสมาชิกจะช่วยเขาทดแทนครอบครัวและชุมชนอิสลาม แต่คริสเตียนคิดว่า
พี่น้องมุสลิมที่รับเชื่อใหม่ไม่ต่างกับคนอื่นทั่วไป
มุสลิมที่รับเชื่อใหม่ในบางครั้งรู้สึกผิดหวัง เขาอาจค่อย ๆ
ถอยจากคริสตจักร
มุสลิมบางคนยังไม่เปิดเผยกับครอบครัวว่าเขาเป็นคริสเตียน
เป็นอย่างนั้นเพราะอาจมีหลายเหตุผล บางคนกลัวที่ต้องแยกจากครอบครัว
บางคนอาจจะยังไม่มีความมั่นใจในการติดตามอีซาอย่างเต็มที่
แต่บางคนอาจคิดถึงครอบครัวที่ต้องการรู้จักท่านอีซา
เขาอาจอยากเป็นพยานเพื่อครอบครัวของเขา ถ้าเขาถูกไล่ออก
ไม่มีใครจะเป็นพยานกับครอบครัวและครอบครัวเขาอาจจะไม่มีโอกาสขึ้นไปสวรรค์
เขาต้องอยู่ในชุมชนมุสลิมที่จะเป็นพยานกับพี่น้องเขา
แต่คริสตจักรส่วนใหญ่ไม่คิดในด้านนี้
แค่ดึงเขาให้เป็นสมาชิกของคริสตจักรเท่านั้น ไม่สนใจมุสลิมว่า
ผู้รับเชื่อใหม่จะถูกไล่ออกจากครอบครัวและสังคม
และจะเสียโอกาสที่จะนำครอบครัวของผู้เชื่อใหม่ให้หันกลับมาหาท่านอีซา
สิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจชัดเจน
คือ การรับเชื่อของมุสลิมไม่ใช่เป็นเรื่องของตัวเองเท่านั้น
ความศรัทธาของเขาต้องเป็นโอกาสที่จะนำครอบครัวให้รู้จักท่านอีซาแท้จริงและรวมถึงญาติพี่น้องของเขาทั้งหมดด้วย
เราต้องลึกถึงข้อหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิล กิจการของอัครทูต 16.31 “จงเชื่อและวางใจในท่านอีซาและท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย”
พระเจ้าทรงไม่คิดถึงผู้รับเชื่อเท่านั้น
แต่ยังสนใจครอบครัวและชุมชนที่เขาอยู่ด้วย
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องดึงคนรับเชื่อให้ออกจากชุมชนของเขา
เราต้องแนะนำให้เขาอยู่ในครอบครัวเพื่อจะเป็นพยานของท่านอีซา
แต่มีปัญหาข้อหนึ่ง
ถ้าครอบครัวหรือชุมชนทราบว่า มุสลิมคนนั้นได้รับเชื่อท่านอีซาแล้วนั้น ครอบครัวและชุมชนคงไม่ยอมให้คนนั้นอยู่ในชุมชนมุสลิม
เขาอาจถูกไล่ให้ออกและไม่อนุญาตให้ติดต่อสังคมอิสลามต่อไป
ถ้าสังคมอิสลามไม่ให้ผู้รับเชื่ออยู่ในชุมชนนั้น
ความตั้งใจที่จะเป็นพยานกับพี่น้องและชุมชนก็เป็นไปไม่ได้
เพื่อพี่น้องมุสลิมที่เป็นผู้เชื่อใหม่ให้อยู่ในสังคมได้
เราต้องนำเขาอย่างไร เราต้องเลือกทางหนึ่งใน 2 ทางต่อไปนี้: ให้เขาแสดงความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา แล้วถูกไล่ออก
ให้เป็นสมาชิกคริสตจักรอย่างเต็มที่, หรือ
สอนให้เขาเก็บความศรัทธาใหม่ในใจ
แนะนำให้เขาแอบเจอกับคนที่รับเชื่อโดยไม่ให้ครอบครัวและชุมชนทราบ
ถ้าไม่มีกลุ่มที่ผู้รับเชื่อจากอิสลาม
เราอาจจะแนะนำให้สร้างกลุ่มของคนที่รับเชื่อจากกลุ่มมุสลิม
ผู้รับใช้ที่ประกาศกับพี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับทางที่ 2 คือ
แนะนำให้คนรับเชื่อซ่อนความศรัทธาใหม่ชั่วคราว
และพยายามให้เป็นพยานตามวิธีที่เหมาะกับสังคมอิสลาม ถ้าทำได้อย่างนั้น
ครอบครัวและชุมชนของเขาจะได้มีโอกาสรู้จักท่านอีซาต่อไป
VII. มุสลิมที่ศรัทธาอีซาและคริสตจักรท้องถิ่น
ในประเทศไทยคริสเตียนส่วนใหญ่มาจากศาสนาพุทธ
คริสตจักรก็เลยไม่รู้ว่า
จะดูแลมุสลิมผู้รับเชื่อท่านอีซาและจะช่วยแก้ปัญหาที่เขาจะพบอย่างไร?
เมื่อมุสลิมผู้รับเชื่อใหม่เข้าในคริสตจักร เขาคงจะเจอสภาพที่เขาไม่เข้าใจ
เช่น คำศัพท์หลายคำที่ใช้ในคริสตจักรก็มาจากศาสนาพุทธ
ก็เลยฟังเทศนาแต่สับสน โปรแกรมของนมัสการที่ใช้ในคริสตจักรตามแบบฝรั่ง
ผู้ชายกับผู้หญิงนั่งด้วยกัน
แต่งตัวของคนที่มาร่วมนมัสการดูไม่เหมาะตามสายตาของมุสลิม
อาหารก็เป็นอุปสรรคสำหรับมุสลิมที่มานมัสการในคริสตจักร มุสลิมถือว่า
อาหารที่มีเนื้อหมูเป็น “หารอม”
(มลทิน) ซึ่งเป็นสิ่งสกปรก จานที่โดน(ถูกแตะต้อง)อาหารหมูก็ไม่สะอาด
แต่คริสเตียนไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็เลยคริสตจักรเตรียมอาหารหมูหมูบ่อย
สำหรับมุสลิมที่มาร่วมนมัสการในคริสตจักรก็รู้สึกไม่สะดวก
คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่า
จะช่วยพี่น้องที่มาจากศาสนาอิสลามอย่างไร
เขาไม่มีความรู้เกี่ยวข้องกับความศรัทธาและการปฏิบัติของมุสลิม
เขาไม่รู้ว่า เมื่อมุสลิมเชื่อท่านอีซา มุสลิมจะเจอปัญหาอะไรบ้าง
คำเทศนาของผู้นำในคริสตจักรไม่ได้ช่วยแก้ข้อสงสัยที่มุสลิมสู้ในใจอยู่ ตั้งแต่เป็นเด็ก
มุสลิมได้เรียนมาว่า ความบาปที่ใหญ่คือการยกมนุษย์ขึ้นเป็นพระเจ้า
เพราะฉะนั้น
ในสายตามุสลิมการเคารพนับถือท่านอีซา(พระเยซูคริสต์)ที่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นบาปใหญ่
สำหรับมุสลิมท่านอีซาเป็นนบีองค์หนึ่งที่ทำอัศจรรย์มากมายและเกิดมาแบบพิเศษ
ซึ่งเกิดมาในโลกโดยไม่มีพ่อก็ยอมรับได้
แต่มันไม่ใด้หมายถึงอีซาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และมุสลิมถือว่า
คัมภีร์ไบเบิล (พระคัมภีร์)ของคริสเตียนถูกบิดเบือน คัมภีร์ของอิสลาม
ซึ่งอัลกุรอานนั้นเป็นคัมภีร์ของพระเจ้าที่สมบูรณ์ที่สุด
อัลกุรอานประกอบด้วยกับคำที่อัลลอฮฺพูดเท่านั้น
แต่คัมภีร์ไบเบิลมีทั้งถ้อยคำของพระเจ้าและสิ่งที่มนุษย์เขียนเองด้วย
ตามมาตรฐานของมุสลิมคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ผสมถ้อยคำของพระเจ้ากับถ้อยคำของมนุษย์
เพราะฉะนั้น
คริสเตียนเราต้อศึกษาให้ดีและต้องสามารถยืนยันที่พระคัมภีร์เป็นคัมภีร์ที่มาจากพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
มีอีกหลายข้อที่มุสลิมสงสัยและเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจที่จะติดตามอีซาอย่างเต็มที่
แต่คริสเตียนเราไม่พร้อมที่จะช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องเหล่านี้
เพราะฉะนั้นคริสเตียนเราต้องศึกษาที่จะช่วยแก้อุปสรรคเหล่านี้
ความเข้าใจผิดที่คริสเตียนมีต่อมุสลิมและศาสนาอิสลามก็เป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่ง
คริสเตียนไทยหลายคนไม่ชอบมุสลิม เขาคิดว่า มุสลิมเป็นพวกหัวรุนแรง
เป็นพวกที่เข้ากับคนอื่นยาก คนไทยตามปกติมักคิดว่า
มุสลิมเป็นพวกที่เห็นแก่ตัวและสร้างปัญหาในสังคม เพราะเหตุผลเช่นนี้
คริสเตียนไม่สนใจในการประกาศกับมุสลิม เขาคิดว่า
การประกาศกับพี่น้องมุสลิมไม่เกิดผล มุสลิมคงไม่สนใจในเรื่องข่าวประเสริฐ
ชาวพุทธก็ยังต้องการพระเยซูและการประกาศกับกลุ่มนี้
ง่ายกว่าและจะมีการตอบสนองของชาวพุทธมากกว่าหลายเท่า
แต่ถ้าเราคิดอย่างนั้น เราเข้าใจผิดคำสั่งของพระเยซูคริสต์ในมัทธิว 28.19
ในข้อนี้ พระเยซูได้ทรงบัญชาเราว่า “จงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ
ให้เป็นสาวกของเรา” ในข้อนี้
พระเยซูได้สั่งชัดเจนว่า ต้องประกาศทุกชนชาติ
ไม่ใช่ชนชาติที่ต้อนรับเราเท่านั้น และ กิจการ 1.8 ก็บอกชัดเจนอีกว่า “ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม
ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
เราต้องออกไปประกาศทุกกลุ่ม
ไม่ว่ากลุ่มที่อยู่ในเยรูซาเล็มหรืออยู่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกก็ตาม
เราไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ประกาศกับทุกกลุ่มที่เราพยามได้
คริสเตียนไทยก็เลยต้องรับผิดชอบพี่น้องมุสลิมในประเทศไทยด้วยการประกาศข่าวประเสริฐอย่างเต็มที่
VIII.
การเติบโตในชีวิตผู้ติดตามอีซา
มุสลิมที่รับเชื่อในท่านอีซาก็เป็นเหมือนเด็กทารกฝ่ายวิญญาณ
เขาต้องการเลี้ยงให้เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณเหมือนคริสเตียนทั่วไป
พี่น้องที่มีความศรัทธาเดียวกันต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด
ในการเปลี่ยนชีวิตเก่าและเสริมสร้างชีวิตใหม่ที่เหมาะกับฐานะใหม่ในท่านอีซาก็ต้องใช้เวลา
ความคิดและความเข้าใจแบบเก่าก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน เป้าหมายชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามแบบอย่างของท่านอีซาอัลมะซีห์
ถ้าเขาแต่งงานแล้วนั้น ชีวิตการแต่งงานก็ต้องดีขึ้น
การอุทิศชีวิตต้องสอดคล้องกันกับคำสอนของท่านอีซา
พี่น้องที่เชื่อท่านอีซามาก่อนก็ต้องติดตามให้ผู้เชื่อใหม่อยู่ในหนทางอย่างถูกต้อง
หนุนใจผู้เชื่อใหม่ให้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นอาหารแห่งชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ
หนุนใจให้คนเชื่อใหม่อยู่ในความสามัคคีธรรมกับกลุ่มที่มีความศรัทธาเดียวกัน
ไปร่วมประชุมทุกอาทิตย์(หรือวันศุกร์)และร่วมมือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มหรือขาดความสามัคคีธรรมระหว่างพี่น้องที่ติดตามอีซาด้วยนั้น
เขาคงจะไม่เติบโตได้เลยในฝ่ายจิตวิญญาณ
หรืออาจหลงจากพระเจ้าและกลับไปทางเดิมก็ได้
ปัญหาในการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณมาจากปัญหา
2 อย่างต่อไปนี้:
ปัญหาแรก คือ เขาทำตัวที่สังคมอิสลามยอมรับไม่ได้
เขาอาจจะทิ้งทุกอย่างที่มุสลิมถือ
มุสลิมที่เชื่อเหล่านั้นคงจะเจอความกดดันจากสังคมมุสลิม
เพราะสังคมมุสลิมเข้าใจผิดว่า การเป็นคริสเตียนหมายถึง
การทรยศพี่น้องมุสลิม ทิ้งทุกสิ่งที่สังคมมุสลิมถือ เป็นคริสเตียนแล้ว
กินหมู หรือ ไปรวมนมัสการที่ใช้แบบมุสลิมยอมรับไม่ได้
ความจริงพระเจ้าของมุสลิมกับพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิลก็เป็นองค์เดียวกัน
เพราะฉะนั้น เมื่อคนรับเชื่อความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา
เขาไม่ต้องทิ้งทั้งหมดในสิ่งที่เขาทำมาตอนเป็นมุสลิม
วัฒนธรรมอิสลามส่วนที่คัมภีร์ไบเบิลยอมรับได้นั้นเขาเก็บต่อไปก็ได้
ในการสำแดงความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา เขาต้องใช้สติปัญญา
เขาจะได้มีโอกาสแนะนำข่าวประเสริฐกับครอบครัวของเขา
แล้วปัญหาอีกอย่างหนึ่ง
คือ มุสลิมที่รับเชื่อใหม่อาจกลับไปทางเดิม ซึ่งกลับไปเป็นมุสลิม
มันเกิดขึ้นได้เมื่อคนรับเชื่อใหม่ผิดหวังกับพี่น้องคริสเตียน
เมื่อมุสลิมรับเชื่อท่านอีซา เขาคาดว่า ชีวิตของพี่น้องคริสเตียนก็สมบูรณ์
แต่เขาจะเห็นว่า คริสเตียนก็ไม่ต่างกันเท่าไร
ผู้นำในคริสตจักรก็มีจุดอ่อนเหมือนคนทั่วไป คนติดตามอีซา
ไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน มีหลายคณะในศาสนาคริสต์ มุสลิมอาจรู้สึกว่า
ความศรัทธาในท่านอีซากับความศรัทธาในอิสลามไม่ต่างกัน
เพราะการผิดหวังกับชีวิตคริสเตียนหรือคริสตจักร
มุสลิมที่รับเชื่อมาแล้วก็กลับไปชีวิตแบบเดิม
มุสลิมที่เชื่อใหม่ต้องการการช่วยดูแลของพี่น้องทั้งหลายที่เชื่อมาก่อน
เขาต้องเรียนรู้ในการเดินกับท่านอีซา และทั้งด้านชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลง
เขาต้องศึกษาพระวจะทุกวัน เขาต้องขยันในการรวมประชุมกับพี่น้อง
เขาต้องรู้ว่า หน้าที่ของเขาในครอบครัวและพี่น้องของเขา
ซึ่งเป็นพยานที่แนะนำข่าวประเสริฐ
เขาต้องระวังในการแสดงความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา
ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ไม่ต้องเป็นอุปสรรคในการประกาศกับพี่น้องของตัวเอง
มุสลิมหลายคนยังอยู่ในความกลัวที่จะตกนรก
ไม่มีความมั่นใจที่พระองค์ทรงรับเขาให้ขึ้นสวรรค์
เขาต้องการข่าวประเสริฐมาก
พระเจ้าทรงเตรียมทางที่ทุกคนสามารถขึ้นสวรรค์ได้ในท่านอีซา
ที่จะประกาศข่าวประเสริฐกับพี่น้องมุสลิม
คริสเตียนเราต้องทุ่มเทในการแนะนำข่าวประเสริฐอย่างเต็มที่
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น
เราต้องช่วยมุสลิมที่เชื่อในท่านอีซาด้วยวิธีที่เหมาะสมกับเขา
นำเขาให้อยู่ในสังคมของมุสลิมและให้เป็นพยานกับครอบครัวและชุมชนของเขาด้วย
เขาต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้นในการรู้จักท่านอีซา
เขาจะได้เป็นพยานในท่ามกลางพี่น้องของเขา
เราต้องนำเขาให้เขาเชื่อมั่นในคำสั่งของพระเยซูดังนี้ว่า
“จงกลับไปบ้านเรือนของตัวและบอกชาวเมืองถึงเรื่องการใหญ่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้า”
(ลูกา8.39)
|