3. ลักษณะความคิดของมุสลิม
มุสลิมมีลักษณะพิเศษในการคิด
โดยเฉพาะเมื่อเขาคิดถึงอัลลอฮฺ
การยอมจำนนต่ออัลลอฮฺคือเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของมุสลิม
เขาต้องยำเกรงอัลลอฮฺในทุกกรณี ถ้าอัลลอฮฺพูดอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
คำสอนทางศาสนาก็ต้องยอมรับว่า เป็นความจริง
เมื่อเราสงสัยก็ไม่อนุญาตให้ใช้ความคิดของตนเอง จะคิดตามเหตุผลก็ไม่ได้
เพราะศาสนาอิสลามไม่ไห้สงเสริมด้านนี้
เมื่อคริสเตียนคุยกับมุสลิมในเรื่องความศรัทธา สิ่งที่ยากที่สุด คือ
ให้เขาคิดตามเหตุผล
ท่าทีแบบนี้ก็เกี่ยวข้องกับวิธีการได้รับคัมภีร์ของมุสลิมซึ่งอัลกุรอาน
เมื่อมุฮัมหมัดได้รับคัมภีร์ (อัล-กุรอาน) เขาไม่ได้ใช้ความคิดเลย
เขาได้รับคัมภีร์ คือการท่องจำอย่างเดียว ทูตสวรรค์ (ภาษาอาหรับ – มะลาอิกะฮ์) กาเบรียลพูดและมุฮัมหมัดตาม และท่องจำข้อเหล่านี้
มันไม่เหมือนความเชื่อของคริสเตียน คริสเตียนเชื่อว่า
พระเจ้าทรงเปิดเผยพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ทรงได้ใช้หลายวิถี
บางครั้งเปิดเผยโดยผ่านผู้เผยพระวจนะ บางครั้งใช้เหตุการณ์ต่าง ๆ
ในประวัติศาสตร์ บางครั้งพระเจ้าพูดโดยตรง
แต่พระเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะที่เป็นคนที่มีสติ
ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ ในขณะเดียวกัน
ผู้เผยพระวจนะยังมีความคิดของตนเอง
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ทุกอย่างและควบคุมให้สำแดงตามพระประสงค์ของพระเจ้า
แต่มุสลิมถือว่า คัมภีร์ของพระเจ้านั้น
ต้องเป็นคำที่พระเจ้าทรงพูดโดยตรงเท่านั้น
อัลกุรอานซึ่งเป็นคัมภีร์ของมุสลิมนั้น
นบี(ศาสดา)มุฮัมหมัดได้รับจากอัลลอฮฺโดยตรงผ่านทูตสวรรค์(มะลาอิกะฮ์)
กาเบรียล ใช้ภาษาอาหรับ ซึ่งมุสลิมถือว่า เป็นภาษาสวรรค์
เพราะฉะนั้นมุสลิมถือว่า คัมภีร์นั้น
ต้องเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงดำรัสเท่านั้น
สิ่งที่เป็นบทกวีหรือคำพยานหรือคำที่อธิบายเหตุการณ์ ต่าง ๆ นั้น
เขาไม่ยอมรับว่า เป็นคัมภีร์ที่สมบูรณ์ เขาถือว่า
อัล-กุรอานเท่านั้นเป็นคัมภีร์ที่อัลลอฮฺเป็นผู้ที่ตรัส
และภาษาอาหรับคือภาษาที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะพระเจ้าทรงใช้ภาษานี้
เมื่ออัลลอฮฺได้ประทานคัมภีร์ อัล-กุรอานกับมุฮัมหมัด มุสลิมก็มั่นใจว่า
คัมภีร์ของเขาสมบูรณ์ที่สุด
เพราะอัล-กุรอาน
เป็นคัมภีร์ที่พระเจ้าทรงตรัสโดยตรง
ศาสนาอิสลามไม่ได้อนุญาตให้มุสลิมสงสัยคำสอนในอัลกุรอาน
ห้ามวิจารณ์หรือวิเคราะห์คำสอนในอัล-กุรอานอย่างเด็ดขาด มุสลิมถือว่า
คำสอนทุกประการในอัลกุรอานก็ชัดเจนและไม่ผิดเลย ถ้าคัมภีร์บอกอย่างนั้น
มุสลิมต้องเชื่ออย่างนั้น เพราะมนุษย์ไม่สามารถทดสอบถ้อยคำของอัลลอฮฺได้
ท่าทีแบบนั้นทำให้มุสลิมไม่ได้ใช้เหตุผลและไม่ดิ้นรนค้นหาน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยความสัมพันธ์กับพระเจ้า
มุสลิมส่วนใหญ่เชื่อและติดตามสิ่งที่ผู้นำโดยไม่ได้ไตร่ตรอง
ผู้นำมีอิทธิพลมากในการเข้าใจคำสอนของอัล-กุรอาน
เมื่อเราประกาศในสิ่งที่ไม่ตรงกับสิ่งที่มุสลิมได้เรียนมา
เขาจะไม่ยอมคุยกับเรา เขาคงหยุดคุยและมักจะบอกเราว่า
จะไปคุยกับผู้สอนหรืออาจารย์ทางศาสนาอิสลามดีกว่า
ท่าทีนี้ต่อไปในการเรียนหรือความคิดเห็นในการดำเนินชีวิตทุกวัน
มุสลิมชอบคุยเรื่องการเมือง แต่ความคิดเห็นเขาส่วนใหญ่มาจากผู้นำทางศาสนา
คิดตามเหตุผลและวิเคราะห์ตามความคิดเห็นของตัวเองน้อยมาก
วิธีเรียนศาสนาอิสลามคือการท่องจำ ไม่ได้ใช้ความเข้าใจตามเหตุผล
มุสลิมไม่กล้าใช้ความคิดเห็นของตนเอง
ท่าทีนี้ไม่ให้มุสลิมค้นหาความสัมผัสกับพระเจ้าโดยตรง
เขารู้สึกปลอดภัยเมื่อเขาคิดและทำตามที่ผู้นำทางศาสนาสอนมาแล้ว
ศาสนาอิสลามไม่ได้สอนให้คิดและวิเคราะห์ตามเหตุผล
ในการเข้าใจคำสอนของอัลลอฮฺความคิดเห็นของตัวเองไม่สำคัญ
เมื่อเขาพบข้อที่ไม่ตรงกับที่เขาเรียนจากผู้นำทางศาสนาอิสลาม
มุสลิมส่วนมากไม่กล้าอภิปรายเรื่องนี้ตามที่เขาเข้าใจ
เมื่อมุสลิมอ่านอัล-กุรอาน เขาไม่พยายามที่จะเข้าใจข้อเหล่านี้
ในการเข้าใจความหมายคำสอนในอัล-กุรอาน เขามักจะพึ่งผู้นำทางศาสนา
ในการเข้าใจคำสอนอัลลอฮฺ
นบีมุฮัมหมัดเป็นคนที่สำคัญมาก ชีวิตและการปฏิบัติ(อัลฮาดีส)ของมุฮัมหมัด
มุสลิมถือว่า เป็นแบบอย่างที่มนุษย์ทุกคนต้องทำตาม
ถ้ามุสลิมเจอเหตุการณ์ที่คัมภีร์อัลกุรอานไม่เคยพูดถึง
เขาศึกษาการปฏิบัติของนบีมุฮัมหมัดที่บันทึกในอัลฮาดีส
ถึงแม้ว่านบีมุฮัมหมัดอยู่ในโลกพันกว่าปีก่อน
มุสลิมเชื่อว่าความคิดของมุฮัมหมัดก็ยังเป็นแบบอย่างสมบูรณ์ที่มุสลิมต้องทำตาม
ในฮาดีสบอกว่ามุฮัมหมัดได้กระทำอย่างนี้ มุสลิมก็อยากทำอย่างนั้น
มุสลิมไม่กล้าทำและคิดตามเหตุผลของตัวเอง
ความคิดใหม่หรือการสร้างสรรค์ใหม่ในความศรัทธานั้นเป็นไปไม่ได้
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นที่ได้เรียนมาได้
เพราะฉะนั้นมุสลิมยอมรับคำสอนใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับท่านอีซา
ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มาเป็นมนุษย์นั้นเข้าใจยาก
คัมภีร์อัล-กุรอานเป็นแบบบทกวี
ซึ่งความคล่องแคล่วสำคัญกว่าความชัดเจนของคำสอน
แล้วอัล-กุรอานไม่ได้ถูกจัดตามเรื่องเล่าหรือกระบวนการณ์ตามเวลา
ไม่ใช่เป็นเรื่องเล่า เพราะฉะนั้น เข้าใจคำสอนของอัลกุรอานก็ไม่ง่าย
ยิ่งกว่านั้น ภาษาอาหรับ ซึ่งมุสลิมถือว่า เป็นภาษาสวรรค์ก็เป็นอุปสรรค
ถึงแม้ว่าอ่านไม่เข้า แต่เขาชอบอ่านอัลกุรอานที่เป็นภาษาอาหรับ เขาถือว่า
อ่านอัลกุรอานที่เป็นภาษาอาหรับสมบูรณ์
มุสลิมไม่ยอมอ่านอัลกุรอานที่เป็นภาษาท้องถิ่น
ความเข้าใจคำสอนในอัล-กุรอานตามเหตุผลนั้นก็ไม่สำคัญ
เพราะเหตุผลเหล่านี้
มุสลิมจึงเข้าใจหลักคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล (Bible)ก็ยาก
มุสลิมส่วนใหญ่ไม่กล้าอ่านคัมภีร์ไบเบิล
มุสลิมบางคนอาจเข้าใจข่าวประเสริฐแต่คนที่ตัดสินใจติดตามท่านอีซาและยอมรับความรักของพระเจ้าที่ได้สำแดงบนไม้กางเขนนั้นน้อยมาก
เพราะท่าทีของมุสลิมที่เขาได้เรียนมา
เพราะฉะนั้น
เมื่อแนะนำข่าวประเสริฐกับพี่น้องมุสลิม เราต้องเข้าใจท่าทีของมุสลิม
มุสลิมส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนความคิดเห็นในเวลาสั้น ๆ เขาต้องใช้เวลานาน
คริสเตียนต้องใช้วิธีทำให้มุสลิมคิดเอง แล้วให้ค่อย ๆ เปลี่ยนความคิด
แล้วคริสเตียนพยายามท่องจำข้อพระคัมภีร์และใช้ข้อเหล่านี้เมื่อเขาพูดคุยกับมุสลิม
บ่อยครั้งพยายามตั้งคำถามทำให้มุสลิมคิดเองตอนที่เขาอยู่คนเดียว
แล้วคริสเตียนต้องเข้าใจว่า ความศรัทธาของมุสลิมไม่ใช่ถูกสร้างบนเหตุผล
แต่มันมาจากที่เรียนมา ความมั่นใจในความเชื่อนั้นผสมกันกับการปฏิบัติ
พื้นฐานความศรัทธาของมุสลิมไม่ใช่ด้วยความเข้าใจ
แต่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกมากกว่า
เพราะฉะนั้นความมั่นใจของคริสเตียนในความรอดเป็นเหตุทำให้มุสลิมเริ่มเปิดใจต่อท่านอีซา
|