6. การมอบชีวิตกับท่านอีซา
เมื่อมุสลิมตัดสินใจที่จะติดตามอีซา
เขาอดพูดความศรัทธาของเขาไม่ได้ ถ้าเขาไม่ได้ระวัง
คนอยู่ใกล้ชิดกับเขาก็คงจะทราบที่เขาได้เปลี่ยนแปลง เขาคงรู้ว่า
คนนี้มีความศรัทธาใหม่ที่เกี่ยวข้องกับท่านอีซา
เขาสงสัยและถามจนเขาทราบอย่างชัดเจน หลังจากทราบว่า
มุสลิมคนนี้รับเชื่อท่านอีซา เขาคงวิจารณ์ความเชื่อของคริสเตียน
หรือเตือนเขาให้กลับความศรัทธาเดิม เพื่อนส่วนใหญ่อาจจะไม่อยากพบเขา
ญาติพี่น้องก็คงต่อต้านเขามาก ถ้าคนที่แต่งงานแล้วนั้น
ภรรยาหรือสามีอาจจะขอหย่ากันก็ได้ ลูกๆ ก็ อยู่ด้วยกันก็ไม่ได้
หลังจากนั้นทั้งชุมชนคงจะพิพากษาและสังเกตดูเขา
ครอบครัวของเขาคงอยากตัดความสัมพันธ์กับเขา
ครอบครัวเขาอาจกลัวเสียหน้าในสังคม เพราะว่า
เชื่อในศาสนาอื่นนั้นเป็นสิ่งที่น่าอายสำหรับครอบครัวมุสลิม
บางครั้งอาจมีอิทธิพลต่อการทำธุรกิจด้วย
ตามธรรมดาครอบครัวพยายามดึงเขาให้กลับความศรัทธาเดิม
ถ้าไม่เชื่อฟังเขาใช้วิถีขู่ให้กลับ
บางครั้งเขาใช้วิธีรุนแรงหรือไม่ให้ไปโรงเรียน หรือบังคับให้ออกจากบ้าน
และไม่อนุญาตให้กลับบ้านนอกจากจะละทิ้งความศรัทธาในท่านอีซา
อันนี้เป็นวิธีหนึ่งที่เขาจะรักษาชื่อครอบครัว
บางข้อในอัลกุรอานได้บอกว่า
คนที่ออกจากศาสนาอิสลามก็ฆ่าได้ (ซูเราะห์ อัน-นิซาอฺ
90; ซูเราะฮฺ อันนะหฺลฺ 107) ในปัจจุบัน
กฎหมายสามัญแต่ละประเทศห้ามฆ่าคนเพราะการเปลี่ยนความศรัทธา
แต่ปัญหานี้ก็ยังเกิดขึ้นอยู่ แย่กว่านั้น
ประเทศอิสลามบางประเทศเอากฎหมายอิสลาม (คือ กฎหมายซาเรียฮฺ) มาให้เป็นกฎหมายสามัญ
ซึ่งเขาอยากจะทำเหมือนคัมภีร์ของเขาสั่งไว้ เพราะฉะนั้น
คริสเตียนที่อยากช่วยมุสลิมเชื่อใหม่ก็ต้องเข้าใจเรื่องนี้
มุสลิมที่รับเชื่อใหม่อาจไม่ถึงถูกฆ่า
แต่ส่วนใหญ่ต้องแยกจากครอบครัวและญาติพี่น้องเกือบทุกคน
เพื่อนสนิทก็ไม่อยากคบกับเขา ครอบครัวและชุมชนเขาจะดูถูกหรือถูกประณาม
เขาคงรู้สึกว่า อยู่คนเดียวในโลกนี้ รู้สึกเหงา
ไม่มีกลุ่มที่เขารู้สึกได้ว่า “เป็นเรา”
ในประเทศไทย
รัฐบาลอนุญาตให้คนไทยทุกคนมีอิสระในการเลือกความศรัทธาของตนเอง
ตามกฎหมายของไทยพี่น้องมุสลิมก็มีสิทธิที่เลือกศาสนาอื่น ๆ
แต่ความกดดันของสังคมมุสลิมยังเป็นอุปสรรคต่อมุสลิมที่อยากเชื่อท่านอีซา
มุสลิมที่เชื่ออีซาส่วนใหญ่ถูกไล่ออกจากชุมชนและครอบครัว
และไม่อนุญาตให้เยี่ยมพ่อแม่ได้
สำหรับคนที่แต่งงานนั้นอาจจะหย่ากันกับคู่สมรส อยู่ด้วยกับลูก ๆ
คงไม่ได้ด้วย มุสลิมที่เชื่อบางคนไม่ได้เยี่ยมครอบครัว
ถึงแม้ว่าพ่อแม่เขาเสียชีวิต
สำหรับมุสลิมผู้รับเชื่อใหม่
ร่วมเป็นสมาชิกคริสตจักรท้องถิ่นก็ไม่ง่าย
คริสตจักรไทยชอบกินเนื้อหมูซึ่งมุสลิมกินไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น
สมาชิกบางคนบังคับมุสลิมที่เชื่อใหม่ให้กินหมู เพราะเขาถือว่า
อันนี้เป็นวิธีพิสูจน์และแสดงความเชื่อใหม่ของผู้เชื่อใหม่
แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย
มุสลิมที่เชื่อใหม่ต้องการความช่วยเหลือและดูแลเป็นพิเศษ
แต่สมาชิกคริสตจักรท้องถิ่นก็ไม่ทราบว่า
มุสลิมที่เชื่อใหม่ต้องการอะไรบ้าง
มุสลิมที่เชื่อใหม่คาดหวังที่คริสตจักรท้องถิ่นจะเป็นครอบครัวใหม่เพื่อเขา
เขาคิดว่าสมาชิกจะช่วยเขาทดแทนครอบครัวและชุมชนอิสลาม แต่คริสเตียนคิดว่า
พี่น้องมุสลิมที่รับเชื่อใหม่ไม่ต่างกับคนอื่นทั่วไป
มุสลิมที่รับเชื่อใหม่ในบางครั้งรู้สึกผิดหวัง เขาอาจค่อย ๆ
ถอยจากคริสตจักร
มุสลิมบางคนยังไม่เปิดเผยกับครอบครัวว่าเขาเป็นคริสเตียน
เป็นอย่างนั้นเพราะอาจมีหลายเหตุผล บางคนกลัวที่ต้องแยกจากครอบครัว
บางคนอาจจะยังไม่มีความมั่นใจในการติดตามอีซาอย่างเต็มที่
แต่บางคนอาจคิดถึงครอบครัวที่ต้องการรู้จักท่านอีซา
เขาอาจอยากเป็นพยานเพื่อครอบครัวของเขา ถ้าเขาถูกไล่ออก
ไม่มีใครจะเป็นพยานกับครอบครัวและครอบครัวเขาอาจจะไม่มีโอกาสขึ้นไปสวรรค์
เขาต้องอยู่ในชุมชนมุสลิมที่จะเป็นพยานกับพี่น้องเขา
แต่คริสตจักรส่วนใหญ่ไม่คิดในด้านนี้
แค่ดึงเขาให้เป็นสมาชิกของคริสตจักรเท่านั้น ไม่สนใจมุสลิมว่า
ผู้รับเชื่อใหม่จะถูกไล่ออกจากครอบครัวและสังคม
และจะเสียโอกาสที่จะนำครอบครัวของผู้เชื่อใหม่ให้หันกลับมาหาท่านอีซา
สิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจชัดเจน คือ
การรับเชื่อของมุสลิมไม่ใช่เป็นเรื่องของตัวเองเท่านั้น
ความศรัทธาของเขาต้องเป็นโอกาสที่จะนำครอบครัวให้รู้จักท่านอีซาแท้จริงและรวมถึงญาติพี่น้องของเขาทั้งหมดด้วย
เราต้องลึกถึงข้อหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิล กิจการของอัครทูต 16.31 “จงเชื่อและวางใจในท่านอีซาและท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย” พระเจ้าทรงไม่คิดถึงผู้รับเชื่อเท่านั้น
แต่ยังสนใจครอบครัวและชุมชนที่เขาอยู่ด้วย
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องดึงคนรับเชื่อให้ออกจากชุมชนของเขา
เราต้องแนะนำให้เขาอยู่ในครอบครัวเพื่อจะเป็นพยานของท่านอีซา
แต่มีปัญหาข้อหนึ่ง
ถ้าครอบครัวหรือชุมชนทราบว่า
มุสลิมคนนั้นได้รับเชื่อท่านอีซาแล้วนั้น
ครอบครัวและชุมชนคงไม่ยอมให้คนนั้นอยู่ในชุมชนมุสลิม
เขาอาจถูกไล่ให้ออกและไม่อนุญาตให้ติดต่อสังคมอิสลามต่อไป
ถ้าสังคมอิสลามไม่ให้ผู้รับเชื่ออยู่ในชุมชนนั้น
ความตั้งใจที่จะเป็นพยานกับพี่น้องและชุมชนก็เป็นไปไม่ได้
เพื่อพี่น้องมุสลิมที่เป็นผู้เชื่อใหม่ให้อยู่ในสังคมได้
เราต้องนำเขาอย่างไร เราต้องเลือกทางหนึ่งใน 2 ทางต่อไปนี้: ให้เขาแสดงความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา แล้วถูกไล่ออก
ให้เป็นสมาชิกคริสตจักรอย่างเต็มที่, หรือ
สอนให้เขาเก็บความศรัทธาใหม่ในใจ
แนะนำให้เขาแอบเจอกับคนที่รับเชื่อโดยไม่ให้ครอบครัวและชุมชนทราบ
ถ้าไม่มีกลุ่มที่ผู้รับเชื่อจากอิสลาม
เราอาจจะแนะนำให้สร้างกลุ่มของคนที่รับเชื่อจากกลุ่มมุสลิม
ผู้รับใช้ที่ประกาศกับพี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับทางที่ 2 คือ
แนะนำให้คนรับเชื่อซ่อนความศรัทธาใหม่ชั่วคราว
และพยายามให้เป็นพยานตามวิธีที่เหมาะกับสังคมอิสลาม ถ้าทำได้อย่างนั้น
ครอบครัวและชุมชนของเขาจะได้มีโอกาสรู้จักท่านอีซาต่อไป
|