7. การรู้จักท่านอีซามากขึ้นสำหรับมุสลิมที่ศรัทธาในอีซา
ในประเทศไทยคริสเตียนส่วนใหญ่มาจากศาสนาพุทธ
คริสตจักรก็เลยไม่รู้ว่า
จะดูแลมุสลิมผู้รับเชื่อท่านอีซาและจะช่วยแก้ปัญหาที่เขาจะพบอย่างไร?
เมื่อมุสลิมผู้รับเชื่อใหม่เข้าในคริสตจักร เขาคงจะเจอสภาพที่เขาไม่เข้าใจ
เช่น คำศัพท์หลายคำที่ใช้ในคริสตจักรก็มาจากศาสนาพุทธ
ก็เลยฟังเทศนาแต่สับสน โปรแกรมของนมัสการที่ใช้ในคริสตจักรตามแบบฝรั่ง
ผู้ชายกับผู้หญิงนั่งด้วยกัน
แต่งตัวของคนที่มาร่วมนมัสการดูไม่เหมาะตามสายตาของมุสลิม
อาหารก็เป็นอุปสรรคสำหรับมุสลิมที่มานมัสการในคริสตจักร มุสลิมถือว่า
อาหารที่มีเนื้อหมูเป็น “หารอม” (มลทิน) ซึ่งเป็นสิ่งสกปรก
จานที่โดน(ถูกแตะต้อง)อาหารหมูก็ไม่สะอาด แต่คริสเตียนไม่เข้าใจเรื่องนี้
ก็เลยคริสตจักรเตรียมอาหารหมูหมูบ่อย
สำหรับมุสลิมที่มาร่วมนมัสการในคริสตจักรก็รู้สึกไม่สะดวก
คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่า
จะช่วยพี่น้องที่มาจากศาสนาอิสลามอย่างไร
เขาไม่มีความรู้เกี่ยวข้องกับความศรัทธาและการปฏิบัติของมุสลิม
เขาไม่รู้ว่า เมื่อมุสลิมเชื่อท่านอีซา มุสลิมจะเจอปัญหาอะไรบ้าง
คำเทศนาของผู้นำในคริสตจักรไม่ได้ช่วยแก้ข้อสงสัยที่มุสลิมสู้ในใจอยู่
ตั้งแต่เป็นเด็ก มุสลิมได้เรียนมาว่า
ความบาปที่ใหญ่คือการยกมนุษย์ขึ้นเป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้น
ในสายตามุสลิมการเคารพนับถือท่านอีซา(พระเยซูคริสต์)ที่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นบาปใหญ่
สำหรับมุสลิมท่านอีซาเป็นนบีองค์หนึ่งที่ทำอัศจรรย์มากมายและเกิดมาแบบพิเศษ
ซึ่งเกิดมาในโลกโดยไม่มีพ่อก็ยอมรับได้
แต่มันไม่ใด้หมายถึงอีซาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และมุสลิมถือว่า
คัมภีร์ไบเบิล (พระคัมภีร์)ของคริสเตียนถูกบิดเบือน คัมภีร์ของอิสลาม
ซึ่งอัลกุรอานนั้นเป็นคัมภีร์ของพระเจ้าที่สมบูรณ์ที่สุด
อัลกุรอานประกอบด้วยกับคำที่อัลลอฮฺพูดเท่านั้น
แต่คัมภีร์ไบเบิลมีทั้งถ้อยคำของพระเจ้าและสิ่งที่มนุษย์เขียนเองด้วย
ตามมาตรฐานของมุสลิมคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ผสมถ้อยคำของพระเจ้ากับถ้อยคำของมนุษย์
เพราะฉะนั้น
คริสเตียนเราต้อศึกษาให้ดีและต้องสามารถยืนยันที่พระคัมภีร์เป็นคัมภีร์ที่มาจากพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
มีอีกหลายข้อที่มุสลิมสงสัยและเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจที่จะติดตามอีซาอย่างเต็มที่
แต่คริสเตียนเราไม่พร้อมที่จะช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องเหล่านี้
เพราะฉะนั้นคริสเตียนเราต้องศึกษาที่จะช่วยแก้อุปสรรคเหล่านี้
ความเข้าใจผิดที่คริสเตียนมีต่อมุสลิมและศาสนาอิสลามก็เป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่ง
คริสเตียนไทยหลายคนไม่ชอบมุสลิม เขาคิดว่า มุสลิมเป็นพวกหัวรุนแรง
เป็นพวกที่เข้ากับคนอื่นยาก คนไทยตามปกติมักคิดว่า
มุสลิมเป็นพวกที่เห็นแก่ตัวและสร้างปัญหาในสังคม เพราะเหตุผลเช่นนี้
คริสเตียนไม่สนใจในการประกาศกับมุสลิม เขาคิดว่า
การประกาศกับพี่น้องมุสลิมไม่เกิดผล มุสลิมคงไม่สนใจในเรื่องข่าวประเสริฐ
ชาวพุทธก็ยังต้องการพระเยซูและการประกาศกับกลุ่มนี้
ง่ายกว่าและจะมีการตอบสนองของชาวพุทธมากกว่าหลายเท่า
แต่ถ้าเราคิดอย่างนั้น เราเข้าใจผิดคำสั่งของพระเยซูคริสต์ในมัทธิว 28.19
ในข้อนี้ พระเยซูได้ทรงบัญชาเราว่า “จงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ
ให้เป็นสาวกของเรา” ในข้อนี้
พระเยซูได้สั่งชัดเจนว่า ต้องประกาศทุกชนชาติ
ไม่ใช่ชนชาติที่ต้อนรับเราเท่านั้น และ กิจการ 1.8 ก็บอกชัดเจนอีกว่า “ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม
ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” เราต้องออกไปประกาศทุกกลุ่ม
ไม่ว่ากลุ่มที่อยู่ในเยรูซาเล็มหรืออยู่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกก็ตาม
เราไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ประกาศกับทุกกลุ่มที่เราพยามได้
คริสเตียนไทยก็เลยต้องรับผิดชอบพี่น้องมุสลิมในประเทศไทยด้วยการประกาศข่าวประเสริฐอย่างเต็มที่
มุสลิมที่รับเชื่อในท่านอีซาก็เป็นเหมือนเด็กทารกฝ่ายวิญญาณ
เขาต้องการเลี้ยงให้เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณเหมือนคริสเตียนทั่วไป
พี่น้องที่มีความศรัทธาเดียวกันต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด
ในการเปลี่ยนชีวิตเก่าและเสริมสร้างชีวิตใหม่ที่เหมาะกับฐานะใหม่ในท่านอีซาก็ต้องใช้เวลา
ความคิดและความเข้าใจแบบเก่าก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน
เป้าหมายชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามแบบอย่างของท่านอีซาอัลมะซีห์
ถ้าเขาแต่งงานแล้วนั้น ชีวิตการแต่งงานก็ต้องดีขึ้น
การอุทิศชีวิตต้องสอดคล้องกันกับคำสอนของท่านอีซา
พี่น้องที่เชื่อท่านอีซามาก่อนก็ต้องติดตามให้ผู้เชื่อใหม่อยู่ในหนทางอย่างถูกต้อง
หนุนใจผู้เชื่อใหม่ให้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นอาหารแห่งชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ
หนุนใจให้คนเชื่อใหม่อยู่ในความสามัคคีธรรมกับกลุ่มที่มีความศรัทธาเดียวกัน
ไปร่วมประชุมทุกอาทิตย์(หรือวันศุกร์)และร่วมมือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มหรือขาดความสามัคคีธรรมระหว่างพี่น้องที่ติดตามอีซาด้วยนั้น
เขาคงจะไม่เติบโตได้เลยในฝ่ายจิตวิญญาณ
หรืออาจหลงจากพระเจ้าและกลับไปทางเดิมก็ได้
ปัญหาในการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณมาจากปัญหา 2 อย่างต่อไปนี้: ปัญหาแรก คือ เขาทำตัวที่สังคมอิสลามยอมรับไม่ได้
เขาอาจจะทิ้งทุกอย่างที่มุสลิมถือ
มุสลิมที่เชื่อเหล่านั้นคงจะเจอความกดดันจากสังคมมุสลิม
เพราะสังคมมุสลิมเข้าใจผิดว่า การเป็นคริสเตียนหมายถึง
การทรยศพี่น้องมุสลิม ทิ้งทุกสิ่งที่สังคมมุสลิมถือ เป็นคริสเตียนแล้ว
กินหมู หรือ ไปรวมนมัสการที่ใช้แบบมุสลิมยอมรับไม่ได้
ความจริงพระเจ้าของมุสลิมกับพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิลก็เป็นองค์เดียวกัน
เพราะฉะนั้น เมื่อคนรับเชื่อความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา
เขาไม่ต้องทิ้งทั้งหมดในสิ่งที่เขาทำมาตอนเป็นมุสลิม
วัฒนธรรมอิสลามส่วนที่คัมภีร์ไบเบิลยอมรับได้นั้นเขาเก็บต่อไปก็ได้
ในการสำแดงความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา เขาต้องใช้สติปัญญา
เขาจะได้มีโอกาสแนะนำข่าวประเสริฐกับครอบครัวของเขา
แล้วปัญหาอีกอย่างหนึ่ง
คือ มุสลิมที่รับเชื่อใหม่อาจกลับไปทางเดิม ซึ่งกลับไปเป็นมุสลิม
มันเกิดขึ้นได้เมื่อคนรับเชื่อใหม่ผิดหวังกับพี่น้องคริสเตียน
เมื่อมุสลิมรับเชื่อท่านอีซา เขาคาดว่า ชีวิตของพี่น้องคริสเตียนก็สมบูรณ์
แต่เขาจะเห็นว่า คริสเตียนก็ไม่ต่างกันเท่าไร
ผู้นำในคริสตจักรก็มีจุดอ่อนเหมือนคนทั่วไป คนติดตามอีซา
ไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน มีหลายคณะในศาสนาคริสต์ มุสลิมอาจรู้สึกว่า
ความศรัทธาในท่านอีซากับความศรัทธาในอิสลามไม่ต่างกัน
เพราะการผิดหวังกับชีวิตคริสเตียนหรือคริสตจักร
มุสลิมที่รับเชื่อมาแล้วก็กลับไปชีวิตแบบเดิม
มุสลิมที่เชื่อใหม่ต้องการการช่วยดูแลของพี่น้องทั้งหลายที่เชื่อมาก่อน
เขาต้องเรียนรู้ในการเดินกับท่านอีซา และทั้งด้านชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลง
เขาต้องศึกษาพระวจะทุกวัน เขาต้องขยันในการรวมประชุมกับพี่น้อง
เขาต้องรู้ว่า หน้าที่ของเขาในครอบครัวและพี่น้องของเขา
ซึ่งเป็นพยานที่แนะนำข่าวประเสริฐ
เขาต้องระวังในการแสดงความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา
ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ไม่ต้องเป็นอุปสรรคในการประกาศกับพี่น้องของตัวเอง
มุสลิมหลายคนยังอยู่ในความกลัวที่จะตกนรก
ไม่มีความมั่นใจที่พระองค์ทรงรับเขาให้ขึ้นสวรรค์
เขาต้องการข่าวประเสริฐมาก
พระเจ้าทรงเตรียมทางที่ทุกคนสามารถขึ้นสวรรค์ได้ในท่านอีซา
ที่จะประกาศข่าวประเสริฐกับพี่น้องมุสลิม
คริสเตียนเราต้องทุ่มเทในการแนะนำข่าวประเสริฐอย่างเต็มที่
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น
เราต้องช่วยมุสลิมที่เชื่อในท่านอีซาด้วยวิธีที่เหมาะสมกับเขา
นำเขาให้อยู่ในสังคมของมุสลิมและให้เป็นพยานกับครอบครัวและชุมชนของเขาด้วย
เขาต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้นในการรู้จักท่านอีซา
เขาจะได้เป็นพยานในท่ามกลางพี่น้องของเขา
เราต้องนำเขาให้เขาเชื่อมั่นในคำสั่งของพระเยซูดังนี้ว่า
“จงกลับไปบ้านเรือนของตัวและบอกชาวเมืองถึงเรื่องการใหญ่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้า” (ลูกา8.39)
|