คำกล่าวชีวิตของมุสลิมที่กลับใจมาศรัทธาในท่านอีซา
ส่วนที่ 1
อัสลามมูอาลัยกุม
วาเราะห์มาตุ้ลรอฮิ วาบารากาตุ
ผมชื่อ อับดุลกอเดร
บิน รอฮามัด ปัจจุบันอายุ 39 ปี ผมเป็นมุสลิมโดยกำเนิด เย๊าะ
( คุณปู่ ) และ ย๊าย ( คุณย่า )
เป็นมุสลิมอยู่ที่ประเทศอินโดนิเซีย และได้อพยพมาอยู่ประเทศไทย
ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยได้มารับใช้เป็นข้าราชบริพาลหรือ
( คนใช้)
ในสมัยของรัชกาลที่ 5
ทำหน้าที่ถีบสามล้อให้กับพระบรมวงศ์ษานุวงศ์ในวังไปตามที่ต่างๆ เนื่องจาก เย๊าะ
( คุณปู่ ) และ ย๊าย ( คุณย่า
) เป็นคนอินโดนีเซีย พี่ - น้องไทยมุสลิมจึงเรียกพี่ -
น้องมุสลิมที่มาจากประเทศอินโดนีเซียว่า คนยะห์หวา ม๊ะ (
คุณแม่ )ของผม ท่านถือกำเนิดที่กรุงเทพฯ และได้ วาลีม๊ะ (สมรส)
กับ ป๊ะ ( คุณพ่อ ) ซึ่งเป็นไทยมุสลิม
ดังนั้นผมจึงเป็นลูก - หลานของมุสลิมโดยกำเนิด
ผมมีพี่ - น้อง 6
คนในช่วงวัยเด็ก และวัยรุ่นของพวกเราทั้ง 6 คนนั้น ผม และพี่ - น้องของผม
เราได้รับการศึกษาทั้งในระบบสามัญ และทางศาสนา
กล่าวคือหลังเลิกเรียนโรงเรียนไทย ตอนเย็นก็ต้องไปเรียน อัล -
กรุอ่าน ต่อที่ มัสยิด ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน
และจะกลับบ้านได้ในแต่ละวัน ก็ต่อเมื่อผม นมาซฟัรดูมักริบ เสร็จแล้ว
ซึ่งในพี่ - น้องเราทั้ง 6 คน ทุกคนต่างจบ ฟัรดู - อีน ภาคบังคับ
( ใช้เวลาเรียน 4 ปีในสมัยนั้น ) พี่ - น้องผมทุกคนผ่าน การฉลองคัมภีร์อัล
- กรุอ่าน หรือ ( ตัมมัรกรุอ่าน ) กับท่าน
อ.ต่วน สุวรรณศาสตร์
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นจุฬาราชมนตรี
สิ่งสำคัญประการหนึ่งก็คือทุกครั้งที่มีงานของ มัสยิด
หรือสุเหร่า ครอบครัวเราเกือบทุกคนจะมีส่วนในการรับใช้ในมัสยิดอย่างเข้มแข็ง
โดยเฉพาะตัวของผมเองในฐานะผู้นำยุวชนมุสลิมคนหนึ่งในชุมชน หรือใน ( กัมป้ง
) ของผม
ครั้นเมื่อผมสำเร็จการศึกษาและมีหน้าที่การงานที่ดี
ก็เป็นเรื่องปกติที่จะมี ญาติ พี่ - น้อง
เพื่อนฝูงและคนในสังคมทั่วไปต่างชื่นชมยินดีกับผม และเมื่อเวลาผ่านไป
ผมมองเห็นโอกาสที่จะทำธุรกิจเป็นครั้งแรก
จึงลาออกจากงานประจำเพื่อจะมาทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ( ซึ่งญาติ พี่ -
น้องก็ไม่เห็นด้วย ) ซึ่งเมื่อดำเนินธุรกิจมาได้ไม่ถึง 2 ปีก็
ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลจากการลดค่าเงินบาทเมื่อปี 2540
แน่นอนผมก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
ในสถานการณ์อย่างนั้นเมื่อนำปัญหาไปปรึกษากับ ญาติ
พี่ - น้อง
ก็ดูเหมือนว่านอกจะไม่ช่วยอะไรผมแล้ว ยังทำร้ายผมอีกต่างหาก (
ซึ่งบางคนอาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ) คำถามคือว่า ทำร้ายอย่างไรหรือ
?
คำตอบก็คือ
โดยการนำเรื่องของผมไปซุบซิบ - นินทา หรือพูดกันต่อๆไป
ช่วงเวลาอย่างนั้นผมรู้สึกอับอาย และรู้สึกกดดัน แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังมี
ม๊ะ ( คุณแม่ ) และ บั้ง คนโต
หรือ พี่ชายคนโต ที่ดีกับผมเป็นอย่างมาก และก็เพื่อนอีก 5 - 6 คน
ที่ดีกับผมมากเช่นกัน ช่วงเวลานั้นผมเก็บตัวอยู่เพียงลำพัง ทำ อามั้ล
- อีบาด๊ะฮ์ อยู่ที่บ้านไม่ไปมัสยิดเหมือนแต่ก่อน
และก็จมอยู่ในความรู้สึกที่ผิดหวังกับความผิดพลาดของตัวเอง
และจมอยู่ในความผิดหวังกับท่าทีที่ไม่สวยงามของพี่ - น้องมุสลิมที่มีต่อผม
ซึ่งทำให้ผมคิดถึงคำสอนในคัมภีร์อัล - กรุอ่าน และใคร่ครวญถึงท่าทีของพี่
- น้องมุสลิมที่ต้องปฏิบัติเพื่อสนองตอบต่อคำสอนของเอกองค์อัลเลาะห์ (
ซ.บ. )
ส่วนที่ 2
วันหนึ่งผมมีธุระต้องออกไปทำนอกบ้าน
และผมได้พบผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นผู้ติดตามท่านอีซา – อัลมะห์ซี
ทำให้ผมหยุดคุยกับเธอครู่หนึ่ง เราพูดคุย และทำความรู้จักกัน
ก่อนจะแยกจากกัน ผู้หญิงคนนั้นชวนให้ผมไปเยี่ยมกลุ่มของเขา
ซึ่งเธออยู่ในกลุ่มผู้ที่ศรัทธาท่านอีซา
ผมก็ตอบเขาว่าถ้ามีโอกาสก็จะไปเยี่ยม
แล้ววันนั้นก็มาถึง
ผมมีโอกาสที่จะไปเยี่ยมประชุมของเธอ
และผมมีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนๆเธออีกหลายคน (
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม )
แต่ที่ผมรู้สึกแปลกใจนั่นก็คือคนที่นั่นเขารักซึ่งกันและกัน
มีการถามถึงความทุกข์ ความสุขกัน และจบลงด้วยการขอดุอาอ์ให้กัน สำหรับภาระ
ปัญหา ของคนๆนั้น มิใช่เป็นการถามถึงความทุกข์ ความสุขกันเพียงเฉยๆ
และนำไปติฉิน นินทากัน ซึ่งมันตรงกันข้ามกับสังคมที่ผมอยู่
ผมรู้สึกสนใจท่าทีการแสดงออกของคนกลุ่มนี้ซะแล้ว ก่อนที่ผมจะขอตัวกลับบ้าน
ผมก็ได้รับคำเชิญชวนให้กลับไปเยี่ยมพวกเขาอีกในวันอาทิตย์หน้า
ซึ่งผมก็ได้กลับไปเยี่ยมพวกเขาอีกพร้อมกับความอยากรู้ของผม
และพร้อมกับคำถามอีกมากมาย ซึ่งก็ได้รับคำตอบ
ตลอดจนได้มีโอกาสอ่านคัมภีร์อินญีลด้วย (
ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่ได้นำมาเปรียบเทียบกับอัล - กรุอ่าน )
เพราะอยากจะรู้ว่าทำไมคนที่ติดตามท่านอีซา
ถึงสำแดงการดำเนินชีวิตแต่ละวันสอดคล้องกับอินญีลได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก การถ่อมใจ การให้อภัย
และรวมทั้งคำสอนในเรื่องอื่นๆด้วย ซึ่ง 6
เดือนที่ผมเฝ้ามองดูชีวิตของผู้ที่ศรัทธาและติดตามท่านอีซา
เพราะคนที่ศรัทธาส่วนมากก็ประพฤติได้อย่างคำสอนนั้น
โดยได้แสดงออกจากภายในสู่ภายนอกซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก
ด้วยการสำแดงออกโดยการกระทำของคนในกลุ่มนี้เอง
ทำให้ผมเปิดใจออกและต้อนรับท่านอีซาเข้ามาในชีวิตของผมเมื่อประมาณ 8
ปีที่ผ่านมา
นอกจากการที่ผมได้เห็นชีวิตของคนส่วนมากในกลุ่มที่ติดตามท่านอีซานั้น
ประพฤติได้อย่างคำสอนในอินญีลแล้ว ผมยังได้รับ ประสบการณ์ส่วนตัวกับ
อัลเลาะห์ (ซ.บ.) ที่มีอยู่จริง มิใช่แค่ความรู้เกี่ยวกับ
ลักษณะของพระเจ้าที่มีอยู่ใน
ซีฟัตวายิบ เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมเปิดใจอยากจะรู้จักกับพระองค์มากขึ้น
ปัจจุบันผมนำเอาคำสอน และประวัติศาสตร์ในอินญีลกับกุรอ่าน มาใคร่ครวญ
พิจารณาดูอยู่บ่อยๆ
ก็พบถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่มีความคล้ายคลึงกันมากและเข้าใจถึงผู้ทำหน้าที่ในการประกาศข่าวแห่งความประเสริฐกับพี่
- น้องมุสลิมว่าทำไมจึงเป็นเรื่องยากเพราะคำสอน ในอัล - หะดีษ ซึ่งเป็น
คำปฏิญาณตัว ( กาลิเมาะชฮาดะห์ ) ที่กล่าวว่า
“
อัลตัชฮาดะฮ์ อัลล่าห์อิลาฮ่า อิลลั้ลลอฮ์ฮู่ ” ความว่า “
ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้
นอกจากอัลเลาะห์เพียงองค์เดียว ” ด้วยคำสอนและคำปฏิญาณนี้เองทำให้มุสลิม
จะกลับใจมาศรัทธาท่านอีซานั้นเป็นเรื่องที่ยาก เพราะมุสลิมไม่ศรัทธาในเรื่องพระเจ้าสามพระภาค
คือ พระเจ้า พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (
แม้ทั้งสามพระภาคนั้นจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ตาม ) และถ้ามุสลิมคนใด
ศรัทธาในพระอื่นนอกเหนือจากอัลเลาะห์ หรือ เอกองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.) แล้ว
มุสลิมคนนั้นจะถือว่าสิ้นสภาพการเป็นมุสลิมในทันที ( ตกมุรตัร )
ส่วนที่ 3
เหตุผลที่ผู้ชายไทยมุสลิม ( มุสลิมีน
) อย่างผม และภรรยาของผมซึ่งเป็นผู้หญิงไทยมุสลิม (
มุสลิมะฮ์ ) กลับใจมาศรัทธาและติดตามท่านอีซา เพราะ
1.)
ชีวิตของผู้ที่ศรัทธาในท่านอีซา ส่วนมาก อยู่ในท่าทีที่สนองตอบต่อคำสอนในคัมภีร์
สำหรับผมนั้นหมายความว่า คัมภีร์อินญีล
มีฤทธิ์อำนาจที่ให้ชีวิตใหม่และให้จิตวิญญาณใหม่ เป็นความจริง
ท่านอีซาได้ขึ้นไปอยู่กับอัลเลาะห์โดยอย่างมีชีวิต เพราะฉะนั้น
ท่านมาช่วยเรา เมื่อเราศรัทธาแบะติดตามท่านอีซา
2.)
ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้าจริง ไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระลักษณะ( ซีฟัตวายิบ
) ของพระเจ้าตามหนังสือเท่านั้น โดยการรู้จักท่านอีซา
เราสำผัดกับพระเจ้าอย่างโดยตรง
3.)
การดำเนินชีวิตของมุสลิมในแต่ละวัน ต่างศรัทธาว่ามีฑูตสวรรค์ หรือ (
มาลาอิกะห์ ) ที่จะคอยจดบันทึกความดี และความชั่วของเรา ฑูตสวรรค์(
มาลาอิกะห์ ) ที่อยู่มือข้างขวามีชื่อว่า มุงกัร ทำหน้าที่คอยจดบันทึกความดี
ฑูตสวรรค์ ( มาลาอิกะห์ ) ที่อยู่มือข้างซ้ายมีชื่อว่า นาเกร ทำหน้าที่คอยจดบันทึกความชั่ว
และเมื่อวันหนึ่งที่เราต้องจากไป หรือ( ถึงอาญัล )
คำถามคือว่าจากไป...แล้วเราไปที่ไหน ? เรามักจะตอบกันไปเรื่อยว่า
ตายแล้วไปสวรรค์ หรือจากไปแล้วก็ไปอยู่กับอัลเลาะห์ (
เหล่านี้เป็นคำตอบที่ใช้ประเล้า ประโลมจิตใจ ญาติของผู้เสียชีวิต )
ในความเป็นจริงก็คือ คนที่บริสุทธิ์ คนดี หรือ ( คนซอและห์ ) และ/ หรือ
คนที่อยู่ในทางของพระเจ้า ( คนที่มีอามานะห์ )
เท่านั้นที่จากไปและจะได้อยู่กับเอกองค์อัลเลาะห์ ( ซ.บ. )
ซึ่งผมไม่สามารถที่จะไปถึงมาตรฐานของพระองค์ได้
แต่คัมภีร์อินญีล
ได้บอกกับผมอย่างง่าย ๆว่า เพียงศรัทธาด้วยปาก และรับด้วยใจว่าท่านอีซา
อัลมะซี นั้นเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมก็จะได้อยู่กับพระองค์ตามพระสัญญาของพระองค์และไม่ต้องถูกพิพากษาจากการทำดี
หรือไม่ดี เมื่อผมตรวจสอบคำสอนอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมขอเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ หรือ
ชีวิตหลังความตายโดยที่ไม่ต้องมาลุ้นถึงความดี
หรือความไม่ดีของตนเองในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
ตามคำสอนของอัลกุรอ่านและคัมภีร์อินญีล
ในวันสิ้นโลกท่านอีซาจะมาครั้งที่สอง และท่านจะตัดสินมนุษย์ทั้งมวล
เพราะฉะนั้นที่จะผ่านการพิพากษานี้ การเข้าใจคำสอนของท่านอีซา
ซึ่งคำสอนที่ถูกบันทึกในคัมภีร์อินญีลสำคัญ
4.)
จากคุณลักษณะพิเศษของท่าน นบีอีซา ในอัล-กรุอ่านและจากหนังสือประวัติศาสตร์
25 ศาสดา และจากคุณลักษณะพิเศษของ อีซา อัลมะซี ในอินญีลไม่ว่าการจะเป็นพยากรณ์ถึงการกำเนิดของท่าน
ความบริสุทธิ์ของท่าน การขึ้นสู่สวรรค์ของท่าน และการกลับมาครั้งที่ 2
ของท่าน ผมไม่เพียงศรัทธาว่า อีซ า - อัลมะห์ซี คือ นบีอีซา
เท่านั้น แต่จากการที่ผม ขอดุอาห์ จากพระเจ้านั้น
พระองค์ทรงประทานความรู้ ความเข้าใจ และการมีประสบการณ์กับพระองค์
ทำให้ผมมีความมั่นใจและกล้าเป็นพูดได้ว่าท่าน อีซา อัล มะห์ซี
หรือ นบีอีซา ทั้งสองท่านนี้เป็นบุคคลคนเดียวกัน
และที่สำคัญคือพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
ปัจจุบันผม และภรรยา (
ซึ่งภรรยาของผมก็เป็นมุสลิมเหมือนกันแต่เป็นลูกมุฮารับ)
เราทั้งสองได้ติดตามท่านอีซาเพราะเหตุผลเหล่านี้
และเราขอดุอาอ์เผื่อพี่น้องมุสลิมทุกคนให้เข้า คำสอนของท่านอีซา
และจะมีความศรัทธาในท่านด้วย (อามีน)
วัสลาม
|