ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นอิสลามมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
แต่ละคนก็ไม่ค่อยเคร่งครัดมากนัก
ข้าพเจ้าเรียนจบศาสนาภาคฟัรดูอีนตั้งแต่สิบขวบที่มัสยิดใกล้บ้านในกรุงเทพฯ
พอเรียนจบ
อาของข้าพเจ้าส่งข้าพเจ้าไปดูสถานที่เรียนต่อภาษาอาหรับเพิ่มเติมที่มาเลเซีย
แต่หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้เรียนเพิ่มเติมเพราะอาของข้าพเจ้าประสบปัญหาเรื่องการเงิน
ข้าพเจ้าเลยไม่ได้เรียนศาสนาต่อ
แต่ข้าพเจ้าใช้เวลาที่มีอยู่ศึกษาอัลกุรอ่านเป็นประจำในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว
ทั้งฟัรดู วายิบ
สุนัต ศึกษาร่วมกันกับเพื่อนๆ
กับท่านอิหม่าม และท่านโต๊ะครูต่างๆ
ยังได้เล่าประสบการณ์ของกันและกันฟังข้าพเจ้าทำงานทางโลกไปด้วยเรียนไปด้วยเพราะเรื่องราวที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของข้าพเจ้าเกิดขึ้นและเริ่มต้นที่นี่
เมื่อปี
ค.ศ.1990 บอสของข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน
เราทำงานร่วมกันเป็นบริษัทเอเยนซี่
รับงานถ่ายภาพสินค้าลงโฆษณาตามนิตยสารต่างๆ ข้าพเจ้ามีหน้าที่ถ่ายภาพ
และล้างรูปสินค้าต่างๆ
ออกมาโดยมีบอสเป็นผู้คัดเลือกรูปภาพที่ถูกใจและดีที่สุด ...จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อกลางปี
ค.ศ.1991 พี่สาวบอสซึ่งก็เป็นคริสเตียนได้มีโอกาสคุยกับข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว
เราพูดคุยเรื่องงานที่ทำและเรื่องครอบครัวของข้าพเจ้า กับเรื่องทั่วๆ
ไป และพี่สาวบอสได้พูดคุยถึงเรื่องราวของพระเจ้าของท่านว่าเป็นอย่างไร
ครอบครัวของท่านเป็นครอบครัวคนจีนแต่นับถือศาสนาพุทธ
แต่ท่านบอกว่าการมาเป็นคริสเตียนและมาเชื่อพระเจ้านี้เป็นเรื่องของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของศาสนาอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกัน
และท่านได้นำคัมภีร์ไบเบิ้ลมาให้ข้าพเจ้า
ท่านบอกว่าท่านมั่นใจว่าพระเจ้าทรงเลือกข้าพเจ้าไว้แล้ว
และท่านก็เชื่อว่าพระเจ้าของท่านกับพระเจ้าของข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน
ถ้ายังไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรให้รับไบเบิ้ลไปอ่านศึกษาดูก่อนก็ได้
และขอให้อ่านอย่างเปิดใจ แล้วท่านก็ขอดุอาอ์ให้กับข้าพเจ้า (คริสเตียนจะเรียกว่าอธิษฐาน
แล้วจบลงด้วยการกล่าวว่า อาเมน) แล้วแนะนำให้ข้าพเจ้าลองไปโบสถ์
(คริสตจักร) หลังจากได้รับคัมภีร์ไบเบิ้ลมาแล้วข้าพเจ้าลองเปิดอ่านดูในช่วงเวลาพักเที่ยง
หรือเอากลับไปอ่านก่อนนอนที่บ้าน
ก่อนอ่านทุกครั้งข้าพเจ้าจะขอดุอาอ์จากพระเจ้าของข้าพเจ้า
เริ่มอ่านตั้งแต่บทแรกก็คือปฐมกาลเปิดมาก็เจอเลยว่าตั้งแต่ปฐมกาลพระเจ้าได้ทรงเนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน
ซึ่งสิ่งนี้ใช่เลยทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ต้องมีผู้สร้าง
ข้าพเจ้าจึงเริ่มอ่านพร้อมกับอัลกุรอ่านควบคู่ไปด้วย อ่านไปเรื่อยๆ
จนถึงชื่อของศาสดาแต่ละท่านเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเริ่มสนใจมากเป็นพิเศษเพราะชื่อแต่ละคนนั้นคล้ายคลึงกับชื่อของศาสดาในอัลกุรอ่าน
เช่น โนอาห์ ในอัลกุรอ่านคือ นบีนัวฮ์
อับราฮัม
ในอัลกุรอ่านคือ นบีอิบรอฮีม
อิสอัค
ในอัลกุรอ่านคือ นบีอิสฮ๊าก
ยาโคบ
ในอัลกุรอ่านคือ นบียะอ์กุ๊บ
โมเสส
ในอัลกุรอ่านคือ นบีมูซา
ดาวิด
ในอัลกุรอ่านคือ นบีดาวู๊ด
โซโลมอน
ในอัลกุรอ่านคือ นบีสุไลมาน
อิสยาห์
ในอัลกุรอ่านคือ นบีอิ้ลยาส
โยนาห์
ในอัลกุรอ่านคือ นบียูนุส ฯลฯ
รวมทั้งเหตุการณ์ตามประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงในอดีตนั้นช่างเหมือนกันอย่างกับคัดลอกกันออกมาเลย
แต่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลได้ถูกเรียบเรียงไว้เป็นลำดับขั้นตอนที่ดีเหตุการณ์ไหนเกิดก่อนเกิดหลัง
ส่วนในอัลกุรอ่านนั้นเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้ไม่ได้เรียบเรียงไว้เป็นลำดับขั้นตอนที่ดี
จึงยากแก่การค้นหามากกว่าเพราะว่าอัลกุรอ่านภายหลังได้ถูกรวบรวมใหม่สมัยท่านนบีมูฮัมมัด
และสิ้นยุคของท่าน ...ข้าพเจ้าจึงเริ่มไปคริสตจักรต่างๆ
ในเขตกรุงเทพฯที่อยู่ใกล้บ้าน
เช่น ย่านคลองเตย สาทร เซ็นหลุยส์ พระโขนง เอกมัย อ่อนนุช คลองตัน
เพชรบุรี ฯลฯ แต่ละคริสตจักรนั้นได้นมัสการพระเจ้าที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งแยกออกเป็นนิกายต่างๆ
เช่น โปรเตสแต๊นท์ แบ๊บติสท์ อีแวนเจลิคอล โอโธด็อก ลูเธอร์แรน เพนเทคอส
โรมันคาทอลิกท์ ฯลฯ ถึงจะมีหลายนิกายที่แตกต่างกันออกไป
และนมัสการพระเจ้าด้วยการใช้ภาษาที่ต่างกันมีทั้งอังกฤษ ไทย จีน
ตามที่ข้าพเจ้าได้ไปมาในแต่ละคริสตจักร
แต่พวกเค้าเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน
จะมีบางนิกายเท่านั้นที่มีความเชื่อและพิธีกรรมที่ต่างออกไปแต่ข้าพเจ้าไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้
เท่าที่ข้าพเจ้าสังเกตดูแต่ละคริสตจักรนั้น
แต่ละคนที่มาคริสตจักรนั้นส่วนใหญ่เค้าแต่งกายกันง่ายๆ
เรียบๆ สุภาพ
สบายๆ สาวๆ
บางคนก็มีแต่งกายเซ็กซี่บ้างซึ่งก็ไม่มากเป็นธรรมดาสำหรับประเทศไทย
แต่เวลานมัสการพระเจ้าด้วยการร้องเพลงนั้นส่วนใหญ่มีอิสระกันเต็มที่
บางคนกระโดดโลดเต้น บางคนสำรวม
บางคนก็ซาบซึ้งน้ำตาซึมไปกับบทเพลงนมัสการพระเจ้าในแต่ละท่วงทำนองเพลงช้าหรือเร็วซึ่งแตกต่างจากการอยู่ในมัสยิดเราต้องอยู่ในท่าทีที่สำรวมตลอดเวลา
เพราะนี่คือเวลาที่เราพร้อมที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า
ต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้สะอาด
ข้าพเจ้าเองรู้สึกและสัมผัสได้ว่าทุกคนที่มาคริสตจักรนี้ได้รับสันติสุขกลับไปแน่นอน
รวมถึงบทเพลงที่ข้าพเจ้าได้ฟังนั้นแต่ละเพลงมีเนื้อหาที่ซาบซึ้งบาดลึกถึงขั้วหัวใจ
ถ้าใครได้ยินได้ฟังแล้วจิตใจยังแข็งกระด้างอยู่ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนผู้นั้นช่างมีจิตใจที่เย็นชามากทีเดียว
พอถึงช่วงเวลาของการเทศนา (อิสลามจะเรียกว่าการอ่านคุตบะฮ์) ส่วนใหญ่จะมีท่าทีสำรวม
สงบ ตั้งใจฟัง
ในปลายปี
ค.ศ.1992 ข้าพเจ้ายังศึกษาคัมภีร์เปรียบเทียบต่อไปถ้ามีเวลาก็จะแวะเวียนไปคริสตจักรต่างๆ
ทุกวันอาทิตย์
แล้ววันหนึ่งข้าพเจ้าได้อ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลมาถึงเรื่องราวของท่านเยซู (นบีอีซา) ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มมีความสงสัยมากขึ้นแต่ว่าข้าพเจ้าก็ยังไปมัสยิดเพื่อทำละหมาดเหมือนกับมุสลิมทั่วๆไป
และในครอบครัวยังไม่มีใครรู้ ข้าพเจ้าจึงขอดุอาอ์ให้มีความเชื่อ
ศรัทธามั่นต่ออัลลอฮ์อย่างมั่นคง
แล้ววันหนึ่งพี่สาวบอสได้แนะนำคริสตจักรแห่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ายังไม่เคยไป
ท่านบอกว่าที่นี่มีอยู่ผู้หนึ่งที่เมื่อก่อนเป็นมุสลิม
แต่ปัจจุบันเป็นผู้รับใช้พระเจ้า
ข้าพเจ้าจึงลองไปที่คริสตจักรแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท
เรามีโอกาสได้พบและพูดคุยกันใครๆ
พากันเรียกว่าอาจารย์ ข้าพเจ้าก็เลยเรียกอาจารย์
พอเห็นหน้ากันครั้งแรกข้าพเจ้ารู้ได้ทันทีว่าท่านต้องเป็นอิสลามแน่นอนเพราะหน้าตาบ่งบอก
ท่านเป็นคนใต้เราพูดคุยกันแต่เรื่องเยซู (นบีอีซา) คุยกันอยู่นานจนมืดค่ำอาจารย์บอกว่าดีใจมากที่มีโอกาสได้เจอพี่น้องมุสลิมที่แสวงหาพระเจ้าที่แท้จริง
สิ่งที่ท่านอาจารย์พูดเน้นก็คือท่านบอกว่าจริงๆแล้ว
ท่านนบีอีซานั้นได้ตายและได้กลับฟื้นคืนชีวิตอีกครั้งหนึ่งในวันที่สามแต่อยู่ในสภาพของวิญญาณบริสุทธิ์
ซึ่งต่างจากของอิสลามที่ท่านนบีอีซานั้นไม่ตายแต่อัลลอฮ์ได้ทรงรับขึ้นไปก่อน
แล้วไปอยู่ในที่ใดอันนี้ก็ไม่ทราบได้
ข้าพเจ้าคิดถึงตามหลักของความเป็นจริงว่ามนุษย์ทั่วๆไปไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลาถึงสองพันกว่าปีข้าพเจ้าจึงคิดว่าเป็นไปได้ที่ท่านอีซาจะเสียชีวิตแล้ว
แต่หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไปนี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่
ท่านบอกว่านบีอีซาคือกุรบ่านที่เป็นมนุษย์และมีชีวิตที่บริสุทธิ์ที่อัลลอฮ์ได้ทรงเลือกไว้แล้ว
จึงเป็นไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮ์
เพื่อมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ไม่ใช่เฉพาะในยุคของท่านเท่านั้น
อาจารย์บอกว่าที่สุดแล้วนบีอีซาก็คือพระเจ้าที่มาในสภาพมนุษย์
รับความผิดบาปทั้งหมดแทนพวกเราใครที่เชื่อและยอมรับแล้วขอดุอาอ์ในนามของท่านอีซาผู้นั้นจะรอดจากบาป
เพื่อนำไปสู่การมีชีวิตนิรันดร์และเป็นบุตรของอัลลอฮ์ด้วย
ข้าพเจ้าจึงกลับมาศึกษาทบทวนประวัติศาสตร์ทั้งกุรอ่านและไบเบิ้ลอย่างรอบคอบมากขึ้นเพราะมีข้อสงสัยและเริ่มสับสนมากขึ้น
เหตุใดท่านนบีอีซาจึงกลายเป็นพระเจ้าไปได้?
กลางปี
ค.ศ.1993 ข้าพเจ้าขอดุอาอ์เป็นการส่วนตัวว่า
ถ้าท่านอีซาเป็นคนเดียวกับเยซูอย่างที่คริสเตียนเชื่อ
และเป็นกุรบ่านที่อัลลอฮ์ทรงไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคนขอให้อัลลอฮ์ทรงให้ข้าพเจ้ามั่นใจและเชื่อเช่นนั้น
หลังจากนั้นข้าพเจ้ารู้สึกมีสันติสุขมากขึ้นแต่ยังสงสัยอยู่และมีโอกาสได้ไปคริสตจักรที่อาจารย์ท่านนี้อยู่เป็นบางครั้งบางคราวเราจึงได้มีเวลาคุยกันมากขึ้น
แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์
หรือบางทีในส่วนลึกจิตใต้สำนึกของข้าพเจ้าเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ได้แต่ข้าพเจ้ายังไม่รู้ตัว
ท่านอาจารย์บอกว่าพระบิดา
พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์
นั้นคือบุคคลคนเดียวกันแต่ต่างสถานะกันเท่านั้นเอง
พระเจ้าบริสุทธิ์เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าถึงพระองค์
ให้เราละหมาดและขอดุอาอ์ต่อพระองค์เราก็ยังไม่ได้รับในสิ่งที่ขอเพราะเรายังมีบาปอยู่
ให้เราขอยกบาปของเราต่อพระองค์โดยตรงก็ไม่เกิดผล
เพราะพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าที่เราจะเข้าถึง
พระองค์จึงต้องลงมาในโลกมนุษย์มารับสภาพแบบเดียวกับพวกเราแต่การเกิดของพระองค์ต้องบริสุทธิ์คือมีอยู่ในตัวท่านนบีอีซานั่นเอง
และท่านนบีอีซาต้องตายเพื่อให้ภารกิจของพระเจ้าสำเร็จ
เพื่อบาปของเราทุกคนจะได้ไปตกอยู่กับท่านนบีอีซาเพียงผู้เดียว
ท่านนบีอีซาจึงกลับไปอยู่กับพระเจ้าในสภาพของวิญญาณบริสุทธิ์
ผู้ที่เชื่อก็มีวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับตัวด้วย ... ต่อไปเวลาขอดุอาอ์ต่างๆให้ขอผ่านในนามของท่านอีซาเท่านั้น
... ช่วงปลายปีนั้นเข้าสู่รอมฎอนเดือนแห่งการถือศีลอดข้าพเจ้าถือศีลอดตลอดทั้งเดือนด้วยความเชื่อมากขึ้น
ข้าพเจ้ายังไปพบและพูดคุยกับอาจารย์ท่านนั้นอยู่ท่านก็ยังแนะนำข้าพเจ้าอีกว่า
มุสลิมส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป
เมื่อก่อนอาจารย์ก็เคยคิดแบบนั้น ท่านแนะนำให้ข้าพเจ้ายอมรับก่อนว่า
ตัวเองเป็นคนบาปไม่สามารถช่วยตัวเองได้
และให้ขอดุอาอ์ในนามของท่านอีซาเท่านั้น
ค่ำวันนั้นหลังจากละศีลอดแล้วข้าพเจ้าก็พูดคุยกับแม่
พี่ น้อง
ตามปกติแต่ในคืนนั้นข้าพเจ้าได้ขอดุอาอ์
และยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป
เป็นคนป่วยที่ต้องการหมอ
ขอให้ท่านอีซาช่วยให้ข้าพเจ้าได้พบความจริงด้วย
ขอดุอาอ์ในนามของท่านอีซาอัลมะซีฮ์
อามีน
แปลกมากข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีเงาบางอย่างวูบผ่านหน้าข้าพเจ้าไปทำให้ขนลุกซู่ตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่ข้าพเจ้ายังมีสติซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง
หรืออุปทานไปเอง
เพราะในส่วนลึกจิตใจของข้าพเจ้าเวลานั้นมันโล่ง
ว่างเปล่าสบาย
และเต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
ข้าพเจ้ามีสันติสุขมากมายอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในชั่วชีวิตจึงจดจำเหตุการณ์นี้ได้อย่างไม่มีวันลืม
และข้าพเจ้าได้ศึกษาคัมภีร์ต่อไปเรื่อยๆ
และเชื่อว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลและคัมภีร์อัลกุรอ่านมีที่มาจากประวัติศาสตร์เดียวกัน
พื้นฐานความเชื่อดั้งเดิมเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องของศาสนาอีกต่อไป
ข้าพเจ้าเชื่อว่าค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่ข้าพเจ้าได้รับริสกีจากอัลลอฮ์มากมายโดยที่ตัวเองสัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณ
พอวันอาทิตย์มาถึงจึงได้ไปคริสตจักรและเล่าให้อาจารย์ฟัง
ท่านอาจารย์ได้ขอดุอาอ์ให้เป็นการส่วนตัวเพื่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
ข้าพเจ้าจึงได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิ้ลและเป็นสมาชิกที่คริสตจักรแห่งนี้จนกระทั่งได้รับศีลบัพติศมา
(การจุ่มลงในน้ำทั้งตัวเพื่อชำระล้างสิ่งที่เป็นมลทินของร่างกายและจิตใจ
เป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้น) ในเดือนกุมภาพันธ์ปี
ค.ศ.1994 ซึ่งในวันนี้เป็นอีกวันที่ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่แม่ข้าพเจ้ามาร่วมรับรู้ในพิธีนี้ด้วย
เพราะผู้ที่เชื่อพระเจ้าทุกคนต้องกระทำต่อหน้าสาธารณะชน
เป็นการประกาศตัวของผู้ที่เชื่ออย่างเปิดเผย
ได้มีรายการทีวีของคริสเตียนมาสัมภาษณ์ข้าพเจ้าหลังจากเสร็จพิธีแล้วและท่านผู้นำของคริสตจักรได้ประกาศว่า
ข้าพเจ้าเป็นพี่น้องในพระเจ้าที่สมบูรณ์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น
และมั่นใจว่าพระเจ้าของชาวคริสต์และพระเจ้าของอิสลามเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน
เชื่อว่าท่านอีซาคือกุรบ่านสุดท้ายที่อัลลอฮ์ได้ส่งมาในสภาพของมนุษย์
จากไปด้วยสภาพของวิญญาณบริสุทธิ์
และจะกลับมาพิพากษาในวันกิยามะฮ์ ท่านอีซาเป็นยิ่งกว่านบีหรือร่อซู้ล
แต่ท่านคือพระเจ้า
ผู้ที่เชื่อในนามท่านอีซาเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอดจากบาป
สู่การมีชีวิตนิรันดร์อย่างถาวร
และมีสิทธิพิเศษคือได้เป็นบุตรของอัลลอฮ์ เพราะได้เกิดใหม่ฝ่ายจิตวิญญาณ
จะขอดุอาอ์สิ่งใดที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าก็จะได้สิ่งนั้นแต่ต้องอดทนรอคอย
จากนั้น 3 เดือนต่อมาคุณแม่ของข้าพเจ้าก็เชื่ออย่างที่ข้าพเจ้าเชื่อ
และอีก 2 ปี
น้องสาวต่อจากข้าพเจ้าได้พบทางสว่างอย่างที่ข้าพเจ้าได้พบแล้ว
มีพี่สาวคนโตที่มาเชื่อเช่นกัน
และน้องสาวอีกคนของข้าพเจ้ากับน้องชายอีกคนที่ได้พบทางสว่าง
พวกเราได้หลุดพ้นในกรอบของศาสนาและได้กลับคืนสู่อ้อมอก
สู่ความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
พวกเราจึงมั่นใจว่าท่านอีซาจะกลับมาอีกครั้งในวันกิยามะฮ์
นี่คือคำสัญญาของพระเจ้าที่ผู้เชื่อทุกคนมั่นใจ
ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าข้าพเจ้ามาถูกทางแล้ว
ไม่มีทางอื่นอีกแล้วที่จะได้พบกับพระเจ้าที่เที่ยงแท้
นอกจากทางของท่านอีซาอัลมะซีฮ์ทางเดียวเท่านั้น
จวบจนวันนี้ที่ข้าพเจ้าได้บันทึกไว้เป็นปี 2008 เป็นเวลาถึง 14 ปีแล้วที่ข้าพเจ้าได้ติดตามท่านอีซาอัลมะซีฮ์แม้ว่าในอนาคตจะเกิดเหตุการณ์ทั้งดีและไม่ดีกับข้าพเจ้าอย่างไร
ข้าพเจ้าจะไม่หันหลังให้กับความเชื่อนี้
แต่ข้าพเจ้าจะเดินตามรอยท่านอีซาอย่างมั่นคงและแน่วแน่ตลอดไปตราบจนลมหายใจสุดท้ายมาเยือน
เอรฟาน
|